04 พฤศจิกายน 2556

LEGEND Qin Shi.Huang จิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิโหดโลกตะลึง

Myth Qin Shihuang First Emperor
ฉายา จักรพรรดิหวงตี้ (始皇帝)กษัตริยองค์แรกของจีน
- จักพรรดิผู้สร้างกำแพงเมืองจีน
- จักรพรรดิผู้คิดค้นยาอายุวัฒนะ
ตำแหน่งสมเด็จพระจักรพรรดิฉินที่ 1
สัญชาติ จีน(Chinees)  
ระยะครองราชย์ แคว้นฉิน 10 ปี
-  ก่อนคริสตกาล 247 - 221 ปี
พระบิดาอัครมหาเสนาบดีหลี่ปู้เหว่ย( Zhuangxiang )
พระมารดาสนมเจ้าจี (Zhao)
พระราชโอรส/ธิดา ชาย 15 คน หญิง 30คน/ ฝูซู(Fusu) ,หูไห่(Huhai)
ประสูติ18กุมภาพันธ์ 260 ปีก่อนคริสตกาล
สวรรคต อายุ 49 ปี - 11 สิงหาคม 210 ปีก่อนคริสตกาล 

             สมเด็จพระจักรพรรดิฉินที่ 1 หรือ จิ๋นซีฮ่องเต้ (ฉินสื่อหวง - Qín Shǐhuáng ) มีพระนามเดิมว่า อิ้งเจิ้ง (政) จากการรวมประเทศในสมัยราชวงศ์นี้ ทำให้กลายมาเป็นคำเรียกว่าจีนในภาษาไทย พระองค์ขึ้นครองราชย์เป็นอ๋องเมื่อพระชนมายุ 13 พรรษา เมื่อฉินอ๋อง จี่ฉู่ ถึงแก่กรรม แต่ด้วยความที่ยังเยาว์พระชนม์ หลี่ปู้เหว่ยจึงเปรียบเสมือนผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ต่อมาเมื่อพระองค์เจริญวัยขึ้นก็ปลดหลี่ปู้เหว่ยออกจากตำแหน่ง
http://legendtheworld.blogspot.com/2013/09/guan-yued-green-dragon-generals_25.html 





       ในขณะที่พระองค์มีพระชนมายุได้ 20 พรรษา พระมารดาของพระองค์มีสัมพันธ์ที่แน่บแน่นกับชายคนหนึ่งที่ปลอมตัวเข้ามาเป็นขันทีในวัง ชื่อ "หลาวอ้าย" (嫪毐) และมีลูกด้วยกันอย่างน้อย 2 คน เมื่อความทราบไปทั่ว หลาวอ้ายถูกจับกุม แต่ทว่าก็เกิดการกบฏขึ้นในวังหลวง โดยพรรคพวกของหลาวอ้าย แต่ทว่าไม่สำเร็จ หลาวอ้ายถูกประหารชีวิต ขณะที่พระมารดาถูกเนรเทศ    นับตั้งแต่นั้นพระองค์ตั้งปณิธานไว้ว่าจะต้องรวบรวมแผ่นดินขึ้นมาเป็นปึกแผ่นให้ได้
      ปลายรัชสมัยจ้านกว๋อ หรือยุคสงคราม ประวัติศาสตร์เมื่อจีนในยุคนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวของการทำสงครามช่วงชิง ความเป็นใหญ่ระหว่างผู้ปกครองรัฐทั้งหลาย ซึ่งยืดเยื้อกินเวลาถึง 500 กว่าปี สร้างความทุกข์ยากลำเค็ญแก่ประชาชนอย่างใหญ่หลวง 


        จีนในยุคนั้นแบ่งออกเป็น 7 รัฐใหญ่ๆ คือ หาน จ้าว เว้ย ฉู่ เยียน ฉี และฉิน โดยรัฐฉิน ที่อยู่ฝั่งตะวันตกนับเป็นรัฐที่ทุรกันดาร และล้าหลังที่สุด แต่ว่าเมื่อ“อิ๋งเจิ้ง”ได้ ขึ้นครองบัลลังก์(246 ปี ก่อน ค.ศ.)เมื่ออายุ 14 ปี จากนั้นไม่นานอิ๋งเจิ้งได้ ปลดผู้สำเร็จราชการ (หลี่ปู้เหว่ย) ออกจากตำแหน่ง แล้วคุมอำนาจการปกครองทั้งหมด พร้อมกันนี้ยังได้พัฒนารัฐฉินที่เคยล้าหลังให้เป็นรัฐที่เจริญและเรือง อำนาจ
         เนื่องจากพระองค์ทรงดำริว่าถ้าต่างแคว้นต่างมีวัฒนธรรมความคิดของตนเองแล้ว การที่จะทำให้แผ่นดินเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ และพระองค์ทรงริเริ่มสร้างผลงานที่โลกต้องยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ซึ่งก็คือ กำแพงเมืองจีน ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อป้องกันแผ่นดินจากชนเผ่าทางเหนือ โดยการสร้างครั้งนี้ มีการบันทึกว่ามีประชาชนชาวจีนและเชลยศึกจำนวนมหาศาลต้องสังเวยชีวิตไปในการสร้างกำแพงครั้งนี้ นอกจากนี้ ยังมีสุสานของพระองค์ที่ยิ่งใหญ่ ถูกค้นพบโดยบังเอิญโดยชาวนาในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ที่นับว่าเป็นการขุดค้นพบทางโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่อีกชิ้นหนึ่งของโลกเลยทีเดียว

http://legendtheworld.blogspot.com/search/label/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%86%E0%B9%8C         แม้ว่าพระองค์จะทรงถูกชาวโลกจดจำว่าเป็นจักรพรรดิผู้โหดเหี้ยมหรือเป็น ทรราชย์องค์หนึ่งของโลก แต่ชาวจีนก็ยังคงยกย่องพระองค์ให้เป็นบิดาผู้รวบรวมประเทศจีนให้ เป็นปึกแผ่น ซึ่งเคยแตกกระจายเป็นแว่นแคว้นต่างๆ มานานกว่าสองสหัสวรรษ เมื่อทรงรวบรวมแผ่นดินได้แล้ว ทรงสถาปนาพระองค์เองเป็น จักรพรรดิองค์แรกของจักรวรรดิจีนตั้งแต่ 221 ปีก่อนคริสตกาล) ถึง 210 ปีก่อนคริสตกาล โดยขนานนามพระองค์เองว่า จักรพรรดิองค์แรก หวงตี้ พระองค์เป็นจักรพรรดิองค์แรกแห่งราชวงศ์ฉิน แม้รัชกาลของพระองค์จะนานเพียง 15 ปี แต่ก็เป็นจุดหักเหสำคัญของประวัติศาสตร์จีน
                นอกจากนี้ยังถูกเกณฑ์ประชาชนไปเป็นทหารบ้าง เป็นกรรมกรบ้าง เพื่อสร้างวัง สร้างกำแพง สร้างสุสาน ทำให้ประชาชนต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบาก เท่านั้นยังไม่พอ กฎหมายในสมัยฉิน ยังได้กำหนดโทษไว้เฉียบขาดมาก หากผู้ใดกระทำผิดจะต้องถูกลงโทษทั้งครอบครัว  ประชาชนในสมัยฉินจึงอยู่กันด้วยความหวาดระแวง และเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ด้วยเหตุนี้ทำให้พวกนักศึกษาสำนักขงจื๊อพากันไม่พอใจ พวกเขาจึงเลือกต่อสู้กับระบบการปกครองของจิ๋นซีฯด้วยการพูด และเขียนบทความ บทกวีถากถางเยาะเย้ยตำหนิติเตียนการปกครองสมัยนั้น ซึ่งก็สร้างความขุ่นเคืองพระทัยต่อจิ๋นซีฯเป็นอย่างยิ่ง พระองค์จึงมีคำสั่งให้เผาหนังสือต่าง ๆ เช่น ประวัติศาสตร์ บทรวมกวีนิพนธ์ บทร้อยแก้ว โดยเฉพาะหนังสือของสำนักขงจื๊อเสียให้หมดสิ้น   คงเหลือไว้ก็พวก ตำราทางการแพทย์ เกษตรกรรมและตำราอื่น ๆ
          จากนั้นไม่นานจิ๋นซีฯก็ได้จับนักศึกษาสำนักขงจื๊อฝังทั้งเป็นเสีย 400 กว่าคน อันเป็นอาชญากรรมที่ถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์มาจนถึงทุก วันนี้
          ครั้นเมื่อจิ๋นซีฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ลงในปีที่ 208 ก่อนคริสต์ศักราช จึงทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชนชั้นต่าง ๆ รุนแรงขึ้นและก็รวดเร็วขึ้นด้วย โดยขบถชาวนาครั้งใหญ่ที่นำโดยเฉินเซิ่ง อู๋กว่าง ได้อุบัติขึ้นเป็นคณะแรกในประวัติศาสตร์จีน จากนั้นก็ลุกลามไปทั่วประเทศ ส่งผลให้ราชวงศ์ฉินถูกขบถชาวนาโค่นลงในปีที่ 206 ก่อนคริสต์ศักราช รวมเวลาที่ปกครองประเทศได้เพียง 15 ปีเท่านั้น
         ณ วันนี้ จิ๋นซีฮ่องเต้อำลาจากโลกไปกว่า 2 พันปีแล้ว เรื่องราวทั้งด้านมืดและด้านสว่างของฮ่องเต้องค์นี้ได้ถูกนักประวัติศาสตร์ จารึกไว้อย่างเที่ยงธรรม ว่า จิ๋นซีฮ่องเต้เป็นจักรพรรดิที่เป็นทั้งมหาราชและทรราชในตัวคนเดียวกัน แต่ว่าพระองค์ก็ถือเป็น 1 ใน 10 ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองจีนที่โลกไม่มีวันลืมตลอดกาล

 ตำนานยาอายุวัฒน(Elixir of life)

            เรื่อง ของยาอายุวัฒนะเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยนี้ เพราะก่อนหน้านี้ ในสมัย เซี่ย ซาง โจว หรือเรื่องราวของเจียงจื่อหยา ล้วนเป็นเรื่องของคนที่มีอายุยืน เรื่องของเซียนอายุยืน เจียงจื่อหยาก็ 120 ปี โจวกงก็ 100 กว่าปี จึงไม่มีคำว่ายาอายุวัฒนะ แต่พอยุคหลัง อาจจะเป็นเพราะสงครามที่ยาวนาน อาจทำให้คนอายุสั้นลงก็เป็นได้ จึงเป็นที่มาที่ในปลายรัชกาลของจิ๋นซีฮ่องเต้เริ่มกลัวตาย เป็นครั้งแรกที่ไม่คิดว่าตัวเองอายุยืน เพราะเรื่องราวที่เราจะเล่าในตอนต่อ ๆ ไป เกี่ยวกับมือสังหารบ้าง มีโรคภัยไข้เจ็บบ้าง ทำให้จิ๋นซื่ออ๋องเกิดความกลัวว่าเขาจะตายเร็วไป ทำให้ปณิธานที่จะสืบสานนโยบาย การรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่นยังไม่ลุล่วง

      ฉินซีฮ่องเต้ ต้องการมีชีวิตนิรันดร์ ตลอดพระชนม์ชีพทรงเสาะแสวงหายาที่ทำจะทำให้ พระองค์มีพระชนมายุอมตะ ทรงเชื่อพวกหมอผีหรือนักไสยศาสตร์ที่ปรุงยาถวายเสมอ ๆ
           การแสวงหายาอายุวัฒนะของจิ๋นซีฮ่องเต้นั้น มาจากคำบอกเล่าของเหล่าอำมาตย์หรือที่ปรึกษาก็ได้ ว่ายาอายุวัฒนะอยู่ที่โพ้นทะเล ต้องอาศัยทั้งคน เงิน และเวลา แม้คำบอกเล่านี้อาจจะเป็นการหลอกเอาทรัพย์ แต่จิ๋นซีฮ่องเต้ก็ยังมีความเชื่อ ส่งเด็ก 500 ผู้ใหญ่ 500 และคนแก่ 500 ออกเดินทางสู่ทะเลทางตอนเหนือ ซึ่งเป็นปากทางของแม่น้ำฮวงโหที่ไหลออกสู่ทะเล แต่ก็ไม่เคยมีใครได้กลับมา จนกระทั่งมีความเชื่อที่ไม่มีการยืนยันว่าคนเหล่านั้นได้ไปถึงเกาะ และสืบเชื้อสายมาเป็นชาวญี่ปุ่นในปัจจุบัน แต่เราก็อย่าเพิ่งไปสรุปว่าชาวญี่ปุ่นคือคนจีนที่เดินทางมาตั้งแต่สมัยจิ๋นซี เหตุที่ต้องส่งเด็กไปด้วย เพราะต้องใช้เวลาในการแสวงหายาอายุวัฒนะ หากเอาผู้สูงอายุไปแม้จะมีประสบการณ์มากกว่า แต่ก็ต้องตาย ดังนั้น ต้องมีเด็กเพื่อคอยสืบต่อให้ได้สามชั่วอายุคน นี่เป็นที่มาของการแสวงหายาอายุวัฒนะ และเป็นเรื่องที่เล่าสืบต่อมาอันยาวนานเลยทีเดียว
          และ การที่เสวยแต่ยาวิเศษที่บรรดาพ่อมดหมอผีนำมาถวาย เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พระองค์ต้องสวรรคตอย่างกะทันหันเมื่อครองราชย์ได้ 29 ปี ในช่วงฤดูร้อนขณะที่ทรงเดินทางอยู่ พระชนมายุได้ 50 พรรษา ซึ่งนักประวัติศาสตร์เชื่อว่า พระองค์ได้เสวยยาที่ส่วนผสมของสารปรอท

      ตำนานพีระมิดแห่งเอเซียสุสานมหาจักรพรรดิจิ๋นซี ( Mausoleum of the First Qin)

           ในปี ค.ศ. 1974 ชาวนาคนหนึ่งขุดดินในเมืองซีอาน  นั้น คงไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าจะได้พบสิ่งที่ถูกเรียกขานกันว่าเป็น สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก สิ่งที่หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์จีนนานกว่า 2,000 ปี "สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้" จักรพรรดิผู้เกริกไกรที่สุดของแดนมังกร
      จนถึงปัจจุบันนี้ เป็นเวลา 34 ปีมาแล้ว ที่ "ส่วนหนึ่ง" ของสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ถูกเปิดเผยออกมาสู่ สายตาชาวโลก และแม้จะเป็นเพียงส่วนเดียว แต่ก็สร้างความตื่นตาตื่นใจอย่างเหลือประมาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ่นทหารดินเผา 8,000 ตัว ที่แต่ละตัวมีหน้าตาไม่เหมือนกันเลย
        แต่ถึงกระนั้น ก็ยังไม่มีการค้นพบตัว สุสานที่แท้จริง หรือพระศพของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่นี้ แต่ก็มีการใช้เทคโนโลยีการสำรวจระยะไกลเข้ามาช่วยในการสำรวจโดย "ส่อง" เข้าไปในเนินดินขนาดใหญ่ใกล้กับบริเวณที่พบหุ่นทหารดินเผาอันเลื่องชื่อ แล้วก็ได้พบความน่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่าสิ่งที่ถูกค้นพบมาก่อนแล้วเสียอีก 

          ลึกลงไปใต้พื้นดินราว 21 เมตร มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่อยู่ ในนั้น เป็นอาคารสูงตั้ง 30 เมตร รูปทรงคล้ายพีระมิดหัวตัด กว้าง 125 เมตร ยาว 145 เมตร ด้านข้างแต่ละด้านมีลักษณะคล้ายบันได และลึกลงไปจากตัวอาคารนี้ ถึงจะเป็นสุสานของจริง ที่มีขนาดกว้าง 50 เมตร ยาว 80 เมตร สูง 15 เมตร   ระหว่างอาคารใหญ่ ซึ่งถูกเรียกว่า ปราสาทของจักรพรรดิไปถึงตัวสุสาน มีทางลาดเชื่อมถึงกัน และเมื่อตรวจสอบด้วยเทคโนโลยีสมัย ใหม่ ก็เห็น "ลางๆ" ว่า บริเวณทางเดินนี้ เต็มไปด้วยรถม้า และม้าที่สร้างด้วยบรอนซ์ ขนาดใหญ่ประมาณครึ่งหนึ่งของขนาดจริง เห็นอย่างนี้แล้ว นักโบราณคดีต่างร้องโหวกเหวก อยากจะขุดเข้าไปให้เห็นกับตาจริงๆ เสียทีว่าจะมีจริงอย่างที่ "ตาอิเล็กทรอนิกส์" ส่องมองแทนหรือไม่ แต่งานนี้ก็ยังคงเป็นทางตัน เพราะแม้นักวิชาการหลายต่อหลายคนจะร้องขอขนาดไหน ทางการจีนก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธ ด้วยเหตุผลเดิมว่า รอให้มีเทคโนโลยีที่ดีกว่านี้ในการอนุรักษ์ ทรัพย์สินของจักรพรรดิเสียก่อน
        ซึ่งก็น่าเห็นใจรัฐบาลจีน เพราะที่ ผ่านๆมา การขุดค้นแหล่งโบราณสถานหลายแห่งก็มีตัวอย่างให้ได้เห็นๆกันมาหลายครั้งแล้วว่า พอของมีค่าจากหน้าประวัติศาสตร์ที่ถูกผนึกไว้นาน ได้ออกมาเจอะออกซิเจนจากภายนอก ก็มีอันเสียหาย และบางชิ้นถึงกับป่นเป็นผุยผง เลยทีเดียว
.....................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น