15 ตุลาคม 2556

Legend Solomon กษัตริย์โซโลมอนผู้กำกุญแจเปิดทวารบารนรก

Myth Solomon King of Demon
ฉายาโซโลมอนราชาบงการปีศาจ (King of Demon)
- นบีสุลัยมาน ศาสนทูตแห่งอัลเลาะฮ์
ตำแหน่ง กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งอิสราเอล(King of Israel)  
ปรากฏคัมภีร์ทานัคห์-พันธสัญญาเดิม(Tanakh)
สัญชาติสหราชอาณาจักรอิสราเอล (Kingdom of Israel) 
บิดา เดวิด (David)
มารดา บัทเซบา(Bathsheba) 
พี่น้องนาธาน(Nathan),อันโนน(Amnon),ซาลอม(Absalom)
คู่ครองราชินีนามาฮ์( Naamah) ,โมอาบ ,อมอร์ไนท์ ,เอโดม ,ซีโดน และฮิตไตท์
- ภรรยาน้อย 700 คน และนางสนมอีก 300 คน
ครองราชค์  ปีที่ 970 - 931 ก่อนคริสกาล
กำเนิด ค.ศ.932
- เยรูซาเลม, ประเทศอิสราเอล (Jerusalem)
เสียชีวิต ค.ศ. 972
- เยรูซาเลม, ประเทศอิสราเอล (Jerusalem)

            โซโลมอน (Solomon) มาจากราก S-L-M ที่แปลว่าความสงบ ในอิสลาม เรียกว่า นบีสุลัยมาน เป็นศาสดาคนที่ 25 ของชาวมุสลิม บุคคลในคัมภีร์ฮิบรู (พันธสัญญาเดิม)เป็นการเล่าเรื่องที่ชี้ให้เห็นถึงการถ่อมตนและการเกรงกลัวใน อัลเลาะฮ์ ส่วนในคัมภีร์อัลกุรอาน กล่าวว่าพระเจ้าโซโลมอนเป็นลูกของเดวิดชื่ออีกชื่อหนึ่งที่ใช้กันคือ “Jedidiah” ในคัมภีร์ทานัคห์ (Tanakh) (พันธสัญญาเดิม) และกล่าวว่าเป็นกษัตริย์องค์ที่สามของสหราชอาณาจักรอิสราเอลและกษัตริย์องค์สุดท้ายก่อนที่จะแยกเป็นราชอาณาจักรอิสราเอลทางเหนือและราชอาณาจักรยูดาห์ทางใต้ หลังจากการแยกตัวผู้ที่สืบเชื้อสายก็ปกครองแต่เพียงราชอาณาจักรยูดาห์เท่านั้น 
http://legendtheworld.blogspot.com/2013/10/solomon-king-of-demon.html 




      กษัตริย์โซโลมอนตามคัมภีร์ ฮีบรู มักพรรณนาถึงกิจกรรมพิธีการตามความเชื่อของโซโลมอนและ บอกต่อเกี่ยวกับความมั่งคั่งของเขา สติปัญญา และเกียรติศักดิ์ในระดับนานาชาติ แต่ก็ทรงเป็นกษัตริย์ ที่ทรงโปรดกวีและศิลปะ และแม้พระองค์จะได้ชื่อว่าเป็นคนฉลาดหลักแหลมมาก แต่พระองค์ก็ยังทรงมีนักปราชญ์และกวีเป็นที่ปรึกษามากมาย งานวรรณกรรมที่ว่ากันว่าเกิดในยุคนั้นก็ยังมีหลงเหลือเล่าขานมาถึงทุกวันนี้ คือ สุภาษิตโซโลมอน บทเพลงโซโลมอน ตำนานพันหนึ่งราตรี ฯลฯ 

       เรื่องราวของโซโลมอนถูกเล่าขานกันมายาวนานกว่าสามพันปี จากการศึกษาบันทึกอักขระบนหนังสัตว์และก้อนหิน กล่าวกันว่า กษัตริย์โซโลมอนนั้นเป็นผู้มีความฉลาด, มั่งคั่ง และทรงอำนาจเป็นอย่างมากอาณาจักรของพระองค์นั้นกว้างใหญ่มีความมั่งคั่งทางการค้าเป็นอย่างมาก  มีเงินและทองคำจำนวนมากที่ได้มาจากการค้า และจากพ่อค้าที่เข้ามาค้าขาย โดยมีบางส่วนมาจากกษัตริย์อาราเบีย และผู้ปกครองเมืองต่างๆที่มอบให้เป็นของกำนัน แผ่นดินของกษัตริย์โซโลมอน ปูด้วยแผ่นทองคำจำนวนสองร้อยแผ่น และมีบันลังก์งาช้างตกแต่งด้วยทองคำประณีตที่สุด พระองค์ทรงสร้างพระวิหารโซโลมอน (Solomon's Temple - Temple Mount) ในกรุงเยรุซาเล็มที่ถือกันว่าเป็นพระวิหารแห่งเยรุซาเล็มหลังแรก

✪ ตำนานมหาวิหารโซโลมอน

         วิหารของโซโลมอน(Solomon's Temple)และพระราชวังถูกสร้างขึ้นทางทิศเหนือของเมืองคนเยบุส. เมืองที่ดาวิดยึดครองอยู่ไกลมาทางภาคใต้มากทีสุดของชายขอบตะวันออก. การก่อสร้างเป็นไปอย่างยากรำบากเพราะเป็นพื้นที่ลาดชัน แต่คนงาน และวิศวกรโยธาก็ต้องทำเพราะเป็นคำบัญชาที่ขัดไม่ได้ อย่างไรก็ตามวิหารที่มีชื่อเสียงของโซโลมอนถูกสร้างบนพื้นที่ด้านทิศเหนือของชายขอบตะวันออก  ที่สูงประมาณ 750ฟุต ไปทางทิศเหนือของเมืองเยบุส.ล้อมรอบทั้งสองด้านด้วยแนวดินแคบยาว  แต่ยังไม่ได้รับยืนยันใดๆทางโบราณคดี เพราะว่าบางส่วนของเมืองได้รับการสร้างใหม่หลายครั้งในช่วงหลายพันปีมานี้.


       ปัจจุบัน คือเทมเพิลเมานท์(Temple Mount) หรือ โดมทองแห่งเยรูซาเล็ม(Dome of the Rock)สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม  ตั้งอยู่บน  เป็นวิหารที่สวยงามที่โลกอาหรับรู้จักฮะรอมอัลชารีฟ(Haram al-Sharif)  สถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์กลางการต่อสู้แย่งชิงกันยาวนานกว่า 4,000 ปี  ปรากฏตามบันทึกในช่วงศัตวรรษที่ 3 ว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวคานาอัน  แต่ว่ากันว่าน่าจะมีการสักการะกันมาอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 5,000ปี จึงทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่แผ่นดินทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก


           ในคัมภีร์ฮีบรูมีหลักฐานถึงสร้างวิหารว่าเริ่มต้นหลังจากอพยพชาวยิวออกจากอียิปต์ 480 ปี  และเป็นการครองราชค์ในปีที่ 4 ของโซโลมอน กินเวลาการสร้างยาวนานกว่า 20 ปีกว่าจะแล้วเสร็จ  เมื่องานทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์, โซโลมอนได้เก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่ นบีเดวิดมอบให้ไว้ในวิหารทั้ง เงิน,ทองคำ และสิ่งของเครื่องใช้  รวมทั้งหีบพันธสัญญาด้วย. ในครั้งนั้นว่ากันว่า มีการทำพิธีอุทิศ รวมทั้งพิธีย้ายหีบพันธสัญญาเข้าไปในวิหารและการอธิษฐานยาวนานโดยโซโลมอน เพื่อยืนยันคำมั่นสัญญาของเขากับดาวิด  

✪✪ ตำนานกุญแจย่อยของโซโลมอน ✪✪
พันธสัญญาแห่งโซโลมอน
۞۞ Testament of Solomon ۞۞

             พระคัมภีร์กล่าวว่า ครั้งหนึ่งโซโลมอนได้ไปขอสติปัญญาจากพระเจ้า เพื่อจะได้นำมาใช้ในการปกครอง อาณาจักร แต่ต่อมาพระองค์ไม่ยอมดำเนินในแนวทางของพระเจ้า เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ พระเจ้าจึงลงโทษให้อาณาจักรถูกแยกเป็น 2 ส่วน กลายเป็นฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ ต่อมาฝ่ายเหนือล่มสลายไปด้วยน้ำมือของอาณาจักรอัสซีเรีย และฝ่ายใต้ก็ล่มสลายด้วยน้ำมือของอาณาจักรบาบิโลน และนี่เป็นเหตุให้คนอิสราเอลต้องกระจัดกระจายไปทั่วโลกนับแต่บัดนั้น ตำนานคำภีกุญแจแห่งโซโลมอน


             กุญแจย่อยของโซโลมอน (Lesser Key of Solomon)หรือคลาวิคิวลาซาโลมอนิส (Clavicula Salomonis) เป็นตำราเวทย์ซึ่งไม่ปรากฏชื่อผู้แต่งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 และเป็นหนังสือที่แพร่หลายที่สุดในปิศาจวิทยา รวมถึงยังเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในอีกชื่อคือ เลเมเกทัน (Lemegeton) กุญแจย่อยของโซโลมอนปรากฏในคริสต์ศตวรรษที่ 17 แต่เนื้อหาภายในนั้นส่วนใหญ่เคยปรากฏในข้อเขียนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 เช่น ซูโดโมนาร์เชีย แดโมนัม ของโยฮัน เวเยอร์ และตำราเวทย์ในยุคกลางเล่มอื่นๆ บางส่วนของเนื้อหาเช่นการเรียกปิศาจนั้นมีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14
           กุญแจย่อยของโซโลมอนมีรายละเอียดของภูตและการอัญเชิญเพื่อใช้งาน ซึ่งรายละเอียดนี้รวมถึงตราพิทักษ์และพิธีกรรมซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการควบกุญแจย่อยของโซโลมอนนั้นแบ่งเป็น 5 บท

  ۞ บทที่ 1 อาร์สโกเอเทีย ۞ Ars Goetia ศาสตร์แห่งโกเอเทียกล่าวถึงปิศาจ 72 ตน
       ที่กล่าวว่าโซโลมอนเคย เรียกขึ้นมาใช้งานโดยขังไว้ในภาชนะทองเหลืองที่ผนึกด้วยตราเวท อาร์สโกเอเทียบรรยายถึงการสร้างภาชนะแบบเดียวกันและใช้เวทมนตร์เรียกปิศาจ โดยระบุถึงยศของปิศาจแต่ละตนในนรกและดวงตราผนึกที่ใช้ควบคุม
       ในพ.ศ. 2447 แซมมวล แมเธอร์ส และ อเลสเตอร์ โครลีย์ ได้แปลและเรียบเรียงอาร์สโกเอเทียเป็นภาษาอังกฤษโดยใช้ชื่อว่า เดอะ โกเอเทีย : กุญแจย่อยของกษัตริย์โซโลมอน (คลาวิคิวลา ซาโลมอนิส เรจิส) (The Goetia: The Lesser Key of Solomon the King (Clavicula Salomonis Regis)) ซึ่งเป็นตำราสำคัญในระบบเวทมนตร์ของโครลีย์ คุม และป้องกันตัวจากภูต ในตำราที่พบเดิมนั้นรายละเอียดจะแตกต่างกันไปในหลายๆฉบับ

 ۞ บทที่ 2 อาร์สทิวร์เกียโกเอเทีย ۞ Ars Theurgia Goetia อธิบายถึงชื่อ ลักษณะ และผนึกของภูตอากาศ 31 ตน
       (แต่ละตนมียศเป็น หัวหน้า, จักรพรรดิ, ราชา และ เจ้าชาย) ซึ่งโซโลมอนเคย เรียกและควบคุม วิธีการป้องกันตัวจากภูติ ชื่อของภูติรับใช้ พิธีอัญเชิญและใช้งาน ภูติเหล่านี้มีทั้งดีและเลว ภูติเหล่านี้สามารถใช้ค้นหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ เปิดเผยความลับของบุคคล และขนย้ายวัตถุใดๆได้ตราบที่ถูกควบคุมไว้ด้วยธาตุทั้งสี่ ภูติเหล่านี้ถูกระบุถึงด้วยลำดับที่ซับซ้อนในหนังสือ

    ۞ บทที่ 3 อาร์สพอลลินา۞Ars Paulina ศาสตร์แห่งพอลเป็นบทที่สา
      ซึ่งในตำนานนั้นเป็นศาสตร์ที่นักบุญพอลเป็นผู้ค้นพบ แต่ในหนังสือเล่มนี้ระบุว่าเป็น "ศาสตร์พอลไลน์ของโซโลมอน " ศาสตร์แห่งพอลนี้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายตั้งแต่สมัยกลาง ในหนังสือเล่มนี้แบ่งเป็นสองบทย่อย

      บทย่อยแรก  อธิบายถึงเทวทูตในช่วงเวลาต่างๆของวันและคืน ซึ่งรวมถึงรายละเอียดเรื่องผนึก พฤติกรรม ผู้รับใช้ (เรียกว่าดุ๊ค) ความสัมพันธ์กับดาวเคราะห์ทั้งเจ็ดที่รู้จักในขณะนั้น ตำแหน่งของดวงดาวที่เหมาะสม รายชื่อ และวิธีการอัญเชิญเทวทูตเหล่านั้น
     บทย่อยที่สอง กล่าวถึงเทวทูตผู้ปกครองจักรราศี ตำแหน่งทางดาราศาสตร์ ความสัมพันธ์กับธาตุทั้งสี่ ชื่อ และผนึก เทวทูตเหล่านี้เรียกว่าเทวทูตแห่งมนุษย์ เพราะมนุษย์ทั้งมวลล้วนแต่เกิดภายใต้จักรราศีทั้งสิบสอง

   ۞ บทที่ 4 อาร์สอัลมาเดล ۞ Ars Almadel ศาสตร์แห่งอัลมาเดล
      ว่าด้วยการทำ อัลมาเดล ซึ่งเป็นแผ่นขี้ผึ้งที่มีตราพิทักษ์เขียนไว้และตั้งเทียนไขไว้สี่เล่ม บทนี้กล่าวถึงการเลือกสี วัสดุ และพิธีกรรมที่ใช้ในการทำอัลมาเดลและเทียนไข อาร์สอัลมาเดลยังกล่าวถึงเทวทูตที่ จะเรียกมาพร้อมอธิบายวิธีอัญเชิญ ทั้งยังระบุว่าผู้อัญเชิญสามารถขอให้เทวทูตช่วยได้แต่สิ่งที่สมเหตุผลและ เป็นธรรมเท่านั้น บทนี้ยังระบุเรื่องผู้ปกครองทั้งสิบสองของเทวทูต นอกจากนั้นยังมีรายละเอียดของวันและตำแหน่งของดวงดาวที่เหมาะสมกับการอัญเชิญแต่ก็ไม่ยาวนัก

   ۞ บทที่ 5  อาร์สนอทอเรีย ۞ Ars Notoriaศาสตร์อันโดดเด่น ตำราเวทย์
     ซึ่งรู้จักกันตั้งแต่สมัยกลาง หนังสือเล่มนี้อ้างว่าศาสตร์นี้พระเจ้าได้เผยให้แก่โซโลมอนผ่านเทวทูต บทนี้รวบรวมมนตร์ต่างๆผสมด้วยแคบบาลาห์และ เวทมนตร์ในภาษาต่างๆ วิธีการสวดมนต์เหล่านี้ และความสัมพันธ์ของพิธีกรรมเหล่านี้กับการเข้าใจศาสตร์ต่างๆ ในบทนี้ยังกล่าวถึงความสัมพันธ์ของดวงจันทร์กับผู้สวดมนต์และระบุว่ามนตร์ เหล่านี้เป็นการเรียกเทวทูต อาร์สนอทอเรียอ้างว่าเมื่อสวดมนต์เหล่านี้อย่างถูกต้องก็จะทำให้เข้าใจ ศาสตร์แขนงที่สัมพันธ์กันและยังทำให้จิตใจมั่นคง ความทรงจำดี  ในบทนี้ยังกล่าวถึงการที่โซโลมอนได้รับวิวรณ์จากเทวทูตอีกด้วย

ตำนานแหวนโซโลมอน ✪
✪✪ Seal of Solomon ✪✪

           แหวนแห่งโซโลมอน หรือดวงตราแห่งโซโลมอน ถูกเรียกขานกันในชื่อดาวของเดวิด มีลักษณะเป็นดาวสัญลักษณ์ 6เหลี่ยมที่ใช้เป็นสัญลักษณ์พื้นฐานในการอัญเชิญปีศาจทั้ง 72 ตนมาสู่โลกมนุษย์ และทำให้โซโลมอนพูดคุยกับสัตว์ต่างๆได้อีกด้วย


        ตามตำนานเมื่อกาลก่อนครั้งยังไม่ปรากฏนามของพระผู้เป็นเจ้า กษัตริย์ของฮิบรูพระองค์หนึ่งพระนามว่าโซโลมอน ได้มีพระราชโองการขึ้นฉบับหนึ่ง สั่งให้เหล่ามหาอำมาตย์ที่ปรึกษาของพระองค์สร้างแหวน วิเศษขึ้นวงหนึ่ง และให้แหวนวิเศษนั้นมีคำจารึกซึ่งไม่เกี่ยงว่าจะเป็นคาถาหรือบทสวดใดๆก็ได้ ลงบนแหวน และเมื่อใดก็ตามที่พระองค์ทอดพระเนตร  แหวนนี้จะต้องเปลี่ยนอารมณ์ของพระองค์ได้ ไม่คำนึงว่าพระองค์จะทรงดีใจหรือเสียใจอยู่ หรือต่อให้พระองค์ทรงโกรธอยู่ แหวนนี้ก็จักต้องสามารถทำให้หายโกรธได้ ไม่เว้นแม้แต่ตอนที่พระองค์กำลังทรงดีใจ แหวนวงนี้ก็ต้องแสดงอิทธฤทธิ์ออกมาให้ทรงหายดีใจได้

        เหล่าอำมาตย์ต่างก็คิดกันหนักว่าจะไปหาแหวนวิเศษขนาดนั้นจากที่ไหน  ช่างและ กวีทั่วทั้งเยรูซาเล็มถูกตามตัวมารับงานขึ้นเรือนแหวน นักบวชตามวิหารต่างๆถูกตามมาสร้างสวดมนต์เพื่อแหวน แล้วก็เป็นอย่างที่เหล่าอำมาตย์คาดไว้ ไม่มีใครสามารถสร้างแหวนที่ทรงพลานุภาพอย่างนั้นได้ การประชุมของเหล่าที่ปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มีแทบทุกวัน วันกำหนดที่จะถวายแหวนแด่พระองค์ก็ใกล้เข้ามาทุกที ความกังวลนั้นเข้ามาอยู่ยึดอยู่ในจิตใจของทุกคน แต่ที่หนักที่สุดเห็นจะเป็นปราชญ์เฒ่าผู้เป็นหัวหน้าคณะที่ปรึกษาของ กษัตริย์โซโลมอน เพราะถ้าทำไม่สำเร็จพระราชอาญาก็คงต้องตกกับตัวเองแต่เพียงผู้เดียว
          ความกังวลเมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่ว่าใครก็ตามก็มักจะก่อตัวใหญ่ขึ้น และเมื่อกังวลเรื่องหนึ่งได้มันก็จะกังวลต่อไปอีกไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่ เรื่อง ปราชญ์เฒ่าผู้เป็นหัวหน้าก็เช่นกัน ถึงตอนนี้แล้วความกังวลมากมายจึงก่อตัววนอยู่รอบๆความคิดของปราชญ์เฒ่า ไหนจะเรื่องพระราชอาญาที่อาจถึงแก่ชีวิต ไหนจะเรื่องครอบครัว ไหนจะเรื่องความจงรักภักดี ฯลฯ


        และเมื่อถึงที่สุดแล้ว ความเป็นปราชญ์ของเขาก็คิดได้ว่า เขาจะกังวลไปทำไม ในเมื่อความมั่นคงในชีวิตมนุษย์อย่างแท้จริงมันไม่เคยมีจริง คนเรานั้นจะดีใจหรือหดหู่กับเคราะห์หามยามร้ายมากเกินไปทำไมและในวินาทีนั้น เองท้องฟ้าก็ดูเหมือนจะเปิดออกให้ได้เห็นแสงสว่าง
           ในวันที่ถวายแหวนวิเศษแด่กษัตริย์โซโลมอน ทันทีที่พระองค์หยิบแหวนขึ้นมาทอดพระเนตรคำจารึก พระองค์ถึงกับนิ่งไปพักใหญ่ แล้วจึงทรงแย้มพระโอษฐ์ออกมาอย่างพึงใจ เหล่าอำมาตย์ทั้งปวงจึงพร้อมใจกันเปล่งเสียงถวายพระพร ในแหวนวิเศษนั้นมีคำจารึกไว้ว่า

And this, too, shall pass away
"แล้วสิ่งนี้ก็จะผ่านไปเช่นกัน"

ขอบคุณบทความจากหนังสือเท่าดวงอาทิตย์ 
.......................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น