ฉายาราชินีแห่งยมโลก(Queen.of.the underworld)
ตำแหน่งเทพีแห่งเมล็ดพันธ์และความเจริญงอกงาม (Vegetation Goddess)
ปรากฏตำนานกรีซโบราณ(GREEK Mythology)
พระบิดามหาเทพเทพซุส(Zeus)
พระมารดาเทพีแห่งการเกษตรดีมีเตอร์ (Demeter)
สัญลักษณ์ของเพอร์เซโฟนีคือ ทับทิม
เพอร์เซโฟนี - เพอร์เซฟะนี(Persephone) ราชินีผู้งดงามเคียงข้างบนบัลลังก์แห่งปรภพแห่งเจ้าเหนือวิญญาณทั้งปวงในอาณาจักรใต้พิภพ พระเทพีพระองค์นี้ คือ "เทพีเพอร์เซโฟนี" ผู้เป็นหลานสาวแท้ๆของเทพฮาเดสผู้นี้ เทพีแห่งความเจริญงดงาม พระองค์ทรงเป็นพระธิดาในเทพซีอุสกับเทพีดิมิเตอร์ โพสพเทพีแห่งกรีก เมื่อเทพีดิมิเตอร์กับเทพีเพอร์เซโฟนีอยู่ด้วยกัน ความอุดมสมบูรณ์แห่งพืชพรรณธัญหารก็จะบังเกิดขึ้น แต่เมื่อทั้งสองพรากจากกันความแห้งแล้งและอดอยากก็จะมาเยือนสรรพชีวิต เพราะเทพีเพอร์เซโฟนีเป็นสัญลักษณ์แห่งการเจริญงอกงาม เมื่อความเจริญงอกงามไม่อยู่ พืชผลก็ล้มตาย
ในยามเยาว์เพอร์เซฟะนีมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะประพฤติตนเป็นเทพพรหมจารย์เช่นเดียวกับ เฮสเทีย ผู้เป็นป้า และอธีนากับอาร์เทอมีสผู้เป็นพี่สาว แต่ความตั้งใจนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่เทพีอโฟรไดต์ ผู้เป็นเทวีแห่งความรักเป็นอย่างมาก เพราะการมีเทพที่ประพฤติตนเป็นพรหมจารีย์มากถึง 3 องค์นั้นมากเกินพออยู่แล้วสำหรับนาง ประกอบกับในขณะนั้นเฮดีสเทพแห่งโลกใต้พิภพเองก็ไร้คู่ เนื่องจากไม่มีเทวีองค์ใดต้องการที่จะลงไปใช้ชีวิตอยู่ใต้พิภพที่มืดมิดและเงียบเหงา อะโฟรไดต์จึงส่งอีรอส หรือ คิวปิด ไปหาโอกาสทำให้เทพเฮดีสและเทวีเพอร์เซฟะนีหลงรักกันให้ได้
จนกระทั่งวันหนึ่งเทพ เฮดีสแห่งยมโลกได้ขึ้นมายังพื้นโลก อีรอสจึงยิงลูกศรกามเทพปักอกเทพแห่งยมโลกอย่างจัง และคนแรกที่เทพเฮดีสได้พบก็คือ เทวีคนงาม เพอร์เซฟะนี นั่นเอง ทำให้เทพเฮดีสหลงรักเทพีผู้เป็นหลานสาวอย่างสุดหัวใจ ทันใดนั้นเองเทพเฮดีสก็ได้ตัดสินใจคว้าร่างเทพีเพอร์ซิโฟเน่ขึ้นมาบนรถม้า และตรงดิ่งลงไปยังใต้พิภพและแต่งตั้งนางให้เป็นราชินีแห่งโลกใต้พิภพเทพีดิมีเทอร์เศร้าโศกเสียใจอย่างหนักที่ธิดาสุดที่รักหายตัวไปจนกระทั่งพืชผลเหี่ยวแห้งทั่วโลก ชาวมนุษย์เดือดร้อนอดตายเป็นจำนวนมาก เทพซูสจึงเรียกตัวพี่ชาย เทพเฮดีส ขึ้นมา เพื่อขอเทพีเพอร์เซฟะนีคืน แต่ทว่าในระหว่างที่อยู่ในยมโลก
เทพีเพอร์เซฟะนีได้เสวยอาหารทิพย์เม็ดเล็กๆ หรือในบางตำนานว่าเมล็ดของผลทับทิมของยมโลกไป 3 เมล็ด ซึ่งผู้ใดได้รับประทานอาหารชนิดนี้ไปแล้วจะต้องผูกพันอยู่กับโลกใต้พิภพและจะจากไปไม่ได้ เทพซูสจึงทำข้อสัญญาตกลงกันว่า จะให้เทพีเพอร์เซฟะนีอยู่บนโลกตามใจชอบเป็นเวลา 9 เดือน
จากนั้นก็ให้กลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่ยมโลกเป็นเวลาอีก 3 เดือน ซึ่งในระหว่างที่ธิดาไม่อยู่ เทพีดิมีเทอร์ก็จะเศร้าโศก พืชผลก็จะปลูกไม่ขึ้น แห้งแล้ง แต่เมื่อองค์ธิดากลับมาสู่อ้อมอก พืชผลก็จะกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของฤดูกาลนั่นเอง
และถึงพระเทพีจะทรงมิชอบพระสวามี แต่อย่างไรก็มีความรู้สึกรักบ้าง เข้าตำราว่า รักนะแต่ไม่แสดงออก ทำให้เทพฮาเดสไม่รู้ว่าพระเทพีก็ทรงรักในเทพฮาเดสอยู่บ้าง ในตำนานเคยกล่าวว่า พระองค์ลงมือสังหาร นางไม้ นามว่า "มินธี" สิ้นคาที่ โดยมีเทพีดิมิเตอร์ผู้เป็นพระมารดาร่วมด้วย นี้แสดงได้ถึงความหึงหวงที่พระเทพีมีให้เทพฮาเดส ของใครของใครก็หวง อะไรบางนั้น
เทพีเพอร์เซฟะนี ยังเป็นเทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิด้วย ในตำนานมักระบุว่าเพอร์เซฟะนีเป็นราชินีแห่งยมโลกผู้เย็นชาไม่ต่างจากพระสวามี มีเพียงคราวที่ออร์ฟิอุสเดินทางมายังยมโลกและเล่นดนตรีเล่าถึงความโศกเศร้าที่ต้องจากคนรักเท่านั้น ที่ทั้งนางและฮาเดสถึงกับกรรแสง และจริงๆแล้วนางยังหึงหวงเฮดีสอย่างมากทีเดียว โดยในตำนานนั้น เพอร์เซฟะนีได้สาปพรายน้ำมินเธซึ่งพยายามยั่วยวนเฮดีส ให้กลายเป็นต้นมินต์
มีตำนานเล่าถึงวีรบุรุษนามว่า"ออร์ฟีอุส" เป็นพระโอรสแห่งเทพอะพอลโล จึงเก่งกาจในการเล่นพิณ เขาเป็นมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ที่เดินทางไปปรโลกอาณาจักรแห่งเทพฮาเดส เพื่อตามหาดวงวิญญาณของนางไม้ยูลิดิซี นางอันเป็นที่รักกลับคืนสู่พื้นโลกเบื้องบน ด้วยเสียงพิณอันไพเราะและเศร้าทำให้พระราชินีแห่งปรโลก ที่ว่ามีความเย็นชา กลับร้องไห้ออกมาและทูลวิวองต่อเทพฮาเดสผู้เป็นพระสวามีให้ออร์ฟีอุสนำวิญญาณของนางยูริดิซีไป เพราะพระเทพีทรงสงสารในความรักของทั้งสอง เป็นทั้งแรกและครั้งสุดท้าย ที่พระเทพีร้องไห้ให้เห็นในปรโลก และมีพระเมตตาสงสารขึ้นมา ซึ่งจากวันนั้นมา พระเทพีก็กลับมาเย็นชาตามเดิม
.......................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น