ฉายา เทวีแห่งความงามวีนัส(ดาวศุกร์-Venus)
ตำแหน่งเทพเจ้าแห่งความรัก ความปรารถนา และความงาม
ปรากฏตำนานกรีซโบราณ(GREEK Mythology)
สถานที่พำนักเขาโอลิมปัส(Mount Olympus)
พระบิดา มหาเทพซุส(Zeus)
พระมารดานางอัปสรไดโอนี (Dione)
พี่น้องพวกนางไม้(Nymphs) ,ภูต(Furies) ,ยักษ์(Gigantes)
สถานที่เกิดเกาะไซเธอรา(Cythera)
สัญลักษณ์ประจำตัวคือต้นเมอร์เติล(Myrtle),โลมา ,กุหลาบ,หอยเชลล์ ,นกพิราบ,นกกระจอก,เข็มขัด ,กระจก และ หงส์
อโฟรไดท์ (Aphrodite) หรือ “ไคพริส” (Kypris) และยังมีชื่อเรียกอื่นแล้วแต่สถานที่ต่างกันไปเช่นที่ ไซปรัส เรียก ไซธีรา ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นที่เกิดของอโฟรไดท์ (Aphrodite) เทพองค์นี้สามารถสะกดเทพ และ มนุษย์ทั้งปวง ให้ลุ่มหลง โดยอาจทำให้สติปัญญาของผู้ฉลาดตกอยู่ในความโฉดเขลา หากจะสืบสาวต้นกำเนิดของอโฟรไดท์ ที่อาจต้องสืบสาวไปไกลกว่าตำนานของกรีกเสียอีก เนื่องจากเทวี มีต้นกำเนิด มาจากดินแดน ซีกโลกตะวันออก ว่ากันว่าเป็นเทวีองค์แรกเริ่มของชนชาติฟีนีเซีย ที่มาตั้งอาณานิคมมากมายในดินแดนตะวันออก และ แถบตะวันออกกลาง ทราบกันมาว่า เทวีอโฟร์ไดท์เป็นองค์เดียวกับเทวีของชาวอัสสิเรีย กับบาบิโลเนีย ที่มีนามว่า อีชตาร์ (Ishtar) และก็ยังเป็น องค์เดียวกับ เทวีของชาวไซโร-ฟีนิเซี่ยน ผู้มีนามว่า แอสตาร์เต (Astarte) จึงนับได้ว่าเป็น เทวีที่มีความสำคัญมาก มาแต่โบราณ
ตามมหากาพย์อิเลียดของโฮเมอร์ กล่าวว่า เมื่อเทวีอโฟรไดท์ ถูกคลื่นซัดไปติด ณ เกาะไซพรัส นั้น ฤดูเทวี ผู้รักษาทวาร แห่งเขาโอลิมปัส ลงมารับเทวีอโฟรไดท์ ขึ้นไปยังเทพสภา เทพทุกคนในที่นั้นต่างตกตะลึงในความงามของเทวี และ ต่างองค์ต่างก็อยากได้มาเป็นคู่ครอง แม้แต่ซุสเองก็อยากจะได้ แต่เทวีไม่ยินดีด้วย ซุสจึงโปรดประทาน เทวีให้แก่ ฮีฟีสทัส (Hephaestus) เป็นบำเหน็จรางวัลทดแทนความชอบ ในการที่ฮีฟีสทัส ประกอบ อสนียบาต ถวาย และ ถือเป็นการลงโทษ เทวีในเหตุที่ไม่ไยดีซุสไปในตัวด้วย เพราะฮีฟีสทัส เป็นเทพพิการ แต่เทพองค์แรกที่เทวีพิศวาส และร่วมอภิรมย์ด้วยกลับเป็น เอรีส (Ares) หรือ มาร์ส (Mars) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการสงคราม ซึ่งได้เป็นชู้สู่หากับเทวี อโฟรไดท์ จนให้ประสูติบุตรสอง ธิดาหนึ่ง มีนามตามลำดับว่า คิวพิด (Cupid) แอนติรอส (Anteros) และ เฮอร์ไมโอนี (Hermione)
เรื่องราวความรักของเทวีแห่งความงาม และความรักอโฟร์ไดท์ไม่หมดแต่เพียงเท่านี้เทวีได้หว่าน เสน่ห์ไปทั่ว ไม่ว่าเทพ หรือ มนุษย์ อาทิเช่นการมีจิตปฏิพัทธ์เสน่หากับ เทพเฮอร์มีสจนเกิดมีโอรสองค์หนึ่งนามว่า เฮอร์มา.โฟร์ดทัส ( Hermahroditus ) ในด้านของมนุษย์ เทวีอโฟร์ไดท์ยังเคยแอบไปมี จิตพิศวาสกับบุรุษเดินดินเช่น ไปชอบพอกับเจ้าชายชาวโทรจันนามว่า แอนคิซีส (Anchises)จนมีโอรสครึ่งเทพครึ่งมนุษย์ออกมานามว่าเอนิแอส (Aenias)ผู้เป็นต้นตระกลูของชาวโรมันทั้งหมด
เรื่องที่อื้อฉาวฮือฮามากที่สุด คือ การไปแอบรัก สุดหล่อแห่งยุคคือ อโดนิส โดยวันหนึ่ง เทวีอโฟรไดท์ เล่นหัวหยอกล้ออยู่กับอีรอส บังเอิญถูกศร ของอีรอสซึ่งถืออยู่สะกิดที่อุระ ถึงแม้ว่า จะเป็นแผลเพียงเล็กน้อย แต่ก็เป็นการเพียงพอที่จะทำให้ตกอยู่ในอำนาจพิษศรของบุตรได้ ยังมิทันที่แผลจะเหือดหาย เทวีก็ได้พบกับ อโดนิส (Adonis) มานพหนุ่มพเนจรอยู่ในราวป่า ให้บังเกิด ความพิสมัย จนไม่อาจระงับ ยับยั้งอยู่ในสวรรค์ได้ เทวีจึงลงมาจากสวรรค์ มาพเนจรติดสอยห้อยตาม อโดนิส หมายที่จะได้ใกล้ชิด ซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะไปทางไหนทวี ก็จะตามไปด้วย เทวีอโฟรไดท์หลงใหล และ เป็นห่วงอโดนิส จนลืมสถานที่ที่เคยโปรด เที่ยวติดตาม อโดนิส ไปในราวป่า คอยตักเตือน และ กำชับอโดนิส ในเวลาล่าสัตว์ มิให้หักหาญ เสี่ยงอันตรายมากนัก ให้หลีกเลี่ยงสัตว์ใหญ่ ล่าแต่สัตว์เล็ก ชนิดที่พอจะล่าได้เท่านั้น ตลอดเวลาที่เฝ้าติดตาม เทวีพะเน้าพะนอเอาใจ อโดนิส ด้วยประการทั้งปวง
แต่ความรักของเทวีที่มีต่ออโดนิส เป็นความรักข้างเดียว เจ้าหนุ่มหาได้รักตอบไม่ อาจเป็นเพราะอีรอสไม่ได้แผลงศรรักกับอโดนิส ด้วยเหตุนี้อโดนิสจึงไม่แยแส ต่อคำกำชับตักเตือนของเทวี คงเที่ยวล่าสัตว์ใหญ่น้อยเรื่อยไป ตามใจชอบ วันหนึ่งเทวีอโฟรไดท์ มีธุระต้องจากไป จึงเหาะไปในนภากาศ ฝ่ายอโดนิสพบหมูป่าแสนดุร้ายเข้าตัวหนึ่ง (บางตำนานเล่าว่าหมูป่าตัวนี้ เกิดจากการเสกจำแลงของ เทพเอเรส เนื่องจากหึงหวงความรัก ที่เทวีอโฟรไดท์มีให้แก่ อโดนิส) และ ตามล่ามันไปจนหมูป่าจนมุมแล้ว อโดนิสก็ ซัดหอกไปถูกหมูป่า แต่หอกพลาดที่สำคัญ หมูป่าได้รับความเจ็บปวด จึงเพิ่มความดุร้ายยิ่งขึ้น จึงรี่เข้าขวิดอโดนิส ล้มลงถึงแก่ความตาย
เทวีอโฟรไดท์ ได้ยินเสียงร้องของ อโดนิส จึงกลับลงมา ยังพื้นปฐพี และตรงเข้าจุมพิต อโดนิสซึ่งกำลังจะสิ้นใจ ครั้นแล้วก็ครวญคร่ำรำพันพิลาปพิไร ด้วยสุดแสน อาลัยรัก ตามวิสัยผู้ที่คลุ้มคลั่ง เทวีรำพันตัดพ้อ เทวีครองชะตากรรม ที่ด่วนเด็ดชีวิต ผู้เป็นที่รัก ให้พรากจากไป พอค่อยหายโศกแล้ว เทวีจึงออกปณิธานว่า “ถึงมาตรว่า ดังนั้นก็อย่าหมายเลยว่า ผู้เป็นที่รักแห่งข้าจะต้องอยู่ ในยมโลกตลอดกาล หยาดโลหิต ของอโดนิส แก้วตาข้า จงกลายเป็น บุปผชาติชนิดหนึ่ง เพื่อเป็นอนุสรณ์ความโศกของข้า ให้ข้าได้ระลึก ถึงวาระเศร้าสลดครั้งนี้ เป็นประจำปีเถิด” เมื่อบอกปณิธานดังนั้นแล้ว เทวีก็พรมน้ำ ต่อเกสรอันศักดิ์สิทธิ์ ลงบนหยาดโลหิตของอโดนิส บัดดล ก็มีพันธุ์ไม้ดอกสีแดงเลือด ดังสีทับทิมผุดขึ้น ดังมีชื่อเรียกกันสืบๆ มาว่า ดอกอโดนิส หรือ ดอกเออะเนมโมนิ (Anemone) แปลว่า ดอกตามลม (บางตำนานว่าก็คือ ดอกกุหลาบนั่นเอง)
...........................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น