02 พฤศจิกายน 2556

LEGEND Aragorn อารากอร์น บุตรแห่งอาราธอร์น

Aragorn King of Middle earth
http://legendtheworld.blogspot.com/2013/09/aragorn-king-of-middle-earth.html
ฉายาเอเลสซาร์ เอสเทล โทรองกิล ราชาคนจร-พญาเหยี่ยวแห่งความหวัง(Elessar Estel Thorongil)
ตำแหน่งกษัตริย์แห่งอาณาจักรมนุษย์(King Elessar Telcontar.of Gondor.)
พระบิดา อาราธอร์นที่สอง(Arathorn II)
พระมารดา กิลไรน์(Gilraen)
พี่น้อง ฟินร็อด โอโรเดร็ธ อังก์รอด และอายก์นอร์
คู่ครอง องค์หญิงอาร์เวน อุนโดเมียล (Arwen Undómiel)
บุตร องค์ชายเอลดาริออน และองค์หญิง 1 พระองค์
อาวุธตกทอด อันดูริล ตีขึ้นจากเศษดาบหักนาร์ซิล(Narsil) ,และแหวนบาราเฮียร์(Ring of Barahir)
กำเนิด 1 มีนาคม  ปี 2931 แห่งยุคที่สาม
สิ้นชีวิต อายุ 210ปี - ยุคที่สี่ ปี 120
เผ่าพันธ์มนุษย์เผ่าดูเนไน์(Dunedain)
-ตระกูลอิซิลดูร์-คนเหนือ (Rangers..of.the North)
ปกครองอาณาจักรใหม่อาร์นอร์ และกอนดอร์
ปรากฏตำนานเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์(Movie Dvd:The Lord of the Rings)

          อารากอร์น (Aragorn) เป็นหนึ่งในตัวละครที่สำคัญในเรื่อง ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ ของเจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เขาปรากฏตัวในช่วงกลางของหนังสือลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตอน มหันตภัยแห่งแหวน เมื่อเขาได้พบกับ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ และคณะ เขามีเชื้อสายของ อิซิลดูร์ กษัตริย์องค์สุดท้ายของอาณาจักร กอนดอร์ และเป็นทายาทเพียงผู้เดียวที่หลงเหลืออยู่ หลังจากสิ้นสุดสงครามแหวน อารากอร์นได้รวมสองอาณาจักรแห่งอาร์นอร์และกอนดอร์ไว้ด้วยกัน และปกครองอย่างร่มเย็นต่อเนื่องมาจนจวบสิ้นอายุขัย 
http://legendtheworld.blogspot.com/2013/08/galadriel-queen-of-elf.html






               อารากอร์น เป็นชื่อที่ตั้งตาม อารากอร์นที่หนึ่งผู้เป็นบรรพบุรุษ  เป็นบุตรของอาราธอร์นที่สองและภรรยากิลไรน์ อารากอร์นสืบเชื้อสายโดยตรงมาจากเอเลนดิล ซึ่งเขาเป็นผู้ที่มีลักษณะและหน้าตาคล้ายกับเอเลนดิลมากที่สุดในหมู่ทายาททุกคน เขายังมีเชื้อสายของ เอลรอส ทาร์-มินยาตูร์ ฝาแฝดครึ่งเอลฟ์ของลอร์ดเอลรอนด์ และกษัตริย์องค์แรกของนูเมนอร์ บรรพบุรุษของเขาอาร์เวดุยได้แต่งงานกับฟิริเอลจากสายตระกูลของอนาริออน มีบุตรคือ อารานาร์ธ นั่นทำให้อารากอร์นเป็นทายาทคนสุดท้ายทางฝั่งของอนาริออนด้วย

        เมื่ออารากอร์นอายุเพียง 2 ปี บิดาของเขาถูกสังหารระหว่างตามล่าพวกออร์ค เอลรอนด์จึงรับเขาเป็นบุตรบุญธรรมและอาศัยอยู่ในริเวนเดลล์ ตามความประสงค์ของมารดา เชื้อสายของเขาจึงถูกเก็บเป็นความลับ ด้วยนางกลัวว่าถ้าอารากอร์นรู้ความจริง เขาจะต้องพบชะตากรรมเดียวกับที่บิดาและปู่ของเขาได้รับ อารากอร์นถูกเปลี่ยนชื่อเป็น เอสเตล (ภาษาซินดารินแปลว่า 'ความหวัง') และไม่ให้บอกความจริงแก่เขาจนกว่าอารากอร์นจะอายุครบ 20 ปี
             เมื่อถึงเวลานั้น เอลรอนด์ก็ได้บอกความจริงแก่"เอสเตล" เรื่องชื่อและประวัติของบรรพบุรุษของเขา และได้มอบ เศษดาบนาร์ซิลและแหวนแห่งบาราเฮียร์ ให้แก่อารากอร์น อารากอร์นได้พบกับอาร์เวนเป็นครั้งแรกเมื่อเขาอายุได้ 20 ปี เวลานั้นอาร์เวนกลับมาจากลอธลอริเอนเพื่อมาเยี่ยมบ้าน อารากอร์นตกหลุมรักอาร์เวนทันที

             ปี 2956 ของยุคที่สาม อารากอร์นได้พบกับ แกนดัล์ฟ และต่อมาทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน จากคำแนะนำของแกนดัล์ฟ อารากอร์นและเหล่าคนจรแห่งแดนเหนือจึงได้ร่วมกันระแวดระวังภัยแผ่นดินโดยรอบแว่นแคว้นเล็กๆ ที่มีชื่อว่า ไชร์ ดินแดนอาศัยของเหล่าฮอบบิท อารากอร์นเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า สไตรเดอร์

              ระหว่างปี 2957 - 2980 อารากอร์นเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว เขาได้ไปรับราชการอยู่กับ กษัตริย์เธงเกล แห่ง โรฮัน และสจ๊วตเอคเธลิออนที่สองแห่งกอนดอร์ เขาใช้ชื่อในระหว่างปลอมตัวนี้ว่า โธรองกิล (หมายถึง อินทรีแห่งดวงดาว) เขาเคยนำกองเรือเล็กๆ ไปปราบกบฏในอุมบาร์
           ปี 2980 ได้เผากองเรือคอร์แซร์ไปมากและสังหารผู้นำของคนเถื่อนพวกนั้น หลังจากชัยชนะในอุมบาร์ "โธรองกิล" ก็จากไป  

          หลังจากนั้น อารากอร์นเดินทางไปยังลอธลอริเอน และได้พบกับอาร์เวนอีกครั้ง เขามอบมรดกประจำตระกูลคือ แหวนแห่งบาราเฮียร์(Ring of Barahir) ให้แก่อาร์เวน แล้วที่บนเนินเครินอัมรอธ อาร์เวนจึงได้ตัดสินใจมอบความรักให้แก่เขา เป็นการละทิ้งความเป็นเอลฟ์ เลือกเดินสู่ชะตากรรมของมนุษย์ คือความตาย

   เปิดตำนานลอร์ดออฟเดอะริงส์ Lord of The Ring

               วันที่ 30 กันยายน ปี 3018 ของยุคที่สาม อารากอร์นได้พบกับ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ ทายาทของบิลโบ และผองเพื่อนฮอบบิทของเขาที่โรงเตี๊ยมแพรนซิ่งโพนี่ ที่เมืองบรี ขณะที่ฮอบบิททั้งสี่เดินทางออกจากไชร์เพื่อนำแหวนเอกไปส่งที่ริเวนเดลล์ เวลานั้นอารากอร์นอายุได้ 87 ปี เขาช่วยพวกฮอบบิทให้หนีพ้นจากพวกนาซกูล ไปจนถึงริเวนเดลล์ได้ 

       หลังจากนั้นจึงได้เข้าร่วม คณะพันธมิตรแห่งแหวน มีผู้ร่วมเดินทางรวม 9 คนอันมาจาก เผ่าเอลฟ์ คนแคระ และมนุษย์ จากอาณาจักรต่าง ๆ เรียกการประชุมนี้ว่า การประชุมของเอลรอนด์ เพื่อเป็นหาข้อสรุปและแนวทางในการต่อต้านเหล่าปีศาจ ที่ประชุมสรุปว่าหนทางเดียวที่จะต่อกรกับเจ้าแห่งความมืดได้ คือต้องทำลายแหวนเอกเสียเท่านั้น โดยต้องนำแหวนไปทิ้งลงในปล่องภูเขาไฟในเมาท์ดูม ซึ่งเป็นไฟที่ใช้สร้างมันขึ้นมา โฟรโดรับอาสาภารกิจนี้ เอลรอนด์จึงแต่งตั้ง "คณะพันธมิตรแห่งแหวน" เพื่อช่วยเหลือโฟรโดในระหว่างการเดินทาง
         คณะพันธมิตรแห่งแหวนเดินทางผ่านทุ่งหญ้า เทือกเขา เข้าไปในเหมืองมอเรีย  เมื่อพวกเขาเข้าไปในเหมือง กลับถูกลอบโจมตีโดยพวกออร์คกับบัลร็อกที่เข้าไปยึดเหมืองนั้นไว้ก่อนแล้ว แกนดัล์ฟต่อสู้กับบัลร็อกเพื่อให้ชาวคณะหลบหนีไปได้ แต่ตัวเขาเองต้องตกลงไปในปล่องเหวอันมืดมิดใต้มอเรีย เมื่อคณะพันธมิตรหนีออกจากมอเรียได้ อารากอร์นจึงพาคนที่เหลือหนีไปยังลอธลอริเอน อาณาจักรของเลดี้กาลาเดรียลและลอร์ดเคเลบอร์น 

        หลังจากนั้นจึงออกเดินทางต่อมาจนมาถึงปากทางเข้าเมาท์ดูม  หน้าประตูดำก็พบกองทัพจำนวนมากจึงไม่อาจผ่านเข้าไปได้ จึงอ้อมไปทางหุบเขาอันน่าสยดสยองแห่งมินัสมอร์กูล ถิ่นของนางแมงมุมชีล็อบ แต่ก็สามารถหลบหลีก ไล่นางไปได้ เวลาเดียวกันนั้นเซารอนส่งกองทัพใหญ่ออกไปสู่สมรภูมิบนมิดเดิลเอิร์ธ เป็นการรบครั้งใหญ่ที่สุดในสงครามแหวน โดยมีวิชคิง หัวหน้าเหล่าภูตแหวน เป็นแม่ทัพเข้าโจมตีกอนดอร์

        อารากอร์นเห็นท่าไม่ดี กำลังที่มีไม่มีทางเอาชนะได้อย่างแนนอนจึง นำกำลังส่วนหนึ่งแยกไปตาม "เส้นทางมรณะ" (Paths of the Dead) เพื่อขอความช่วยเหลือจากกองทัพปีศาจผู้ตกอยู่ในคำสาปของบรรพกษัตริย์กอนดอร์ ให้ช่วยสกัดทัพเรือคอร์แซร์ที่ยกมาจากอุมบาร์ จากนั้นแกนดัล์ฟ อารากอร์น และคนทั้งหมดเข้าร่วมในการสงครามใหญ่ที่เซารอนหมายเข้ายึดมินัสทิริธ เรียกว่าสมรภูมิทุ่งเพเลนนอร์ ทัพโรฮันมาถึงทันเวลาและป้องกันเมืองมินัสทิริธไว้ได้ แต่เซารอนยังมีกองกำลังจำนวนมากเตรียมพร้อมยกหนุนมาอีก ฝ่ายกองทัพอิสระชนแห่งมิดเดิลเอิร์ธไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าโจมตีประตูดำแห่งมอร์ดอร์ แม้จะไม่มีหวังได้รับชัยชนะก็ตาม ทั้งนี้ก็ด้วยความหวังเพียงประการเดียวคือหันเหความสนใจของเซารอนมาที่พวกตน เพื่อซื้อเวลาให้โฟรโดสามารถเข้าไปทำลายแหวนได้

         แซมตามไปช่วยโฟรโดออกมาได้ แล้วเดินทางข้ามที่ราบอันหฤโหดของมอร์ดอร์เข้าไปถึงเมาท์ดูม  แต่ในที่สุดแหวนมีอำนาจเหนือจิตใจของโฟรโดมากจนเขาไม่สามารถโยนมันทิ้งลงไปในภูเขาไฟ และประกาศตัวเป็นเจ้าของแหวน  แต่กอลลัมเมื่อเห็นโฟรโดประกาศครอบครองแหวน ก็เข้ายื้อแย่งและกัดนิ้วที่สวมแหวนของโฟรโดจนขาด มันตื่นเต้นดีใจจนขาดสติแล้วลื่นไถลตกลงไปในปล่องภูเขาไฟ ทำให้แหวนถูกทำลายไป เหล่าปีศาจและสิ่งก่อสร้างทั้งปวงที่สร้างขึ้นด้วยอำนาจดวงจิตของเซารอนจึงพังพินาศไปพร้อมกับแหวนด้วย และกองทัพของอิสระชนแห่งมิดเดิลเอิร์ธเป็นฝ่ายได้รับชัยชน
 
        อารากอร์นได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งกอนดอร์ และอภิเษกกับอาร์เวน บุตรีของเอลรอนด์ แต่ผลกระทบจากสงครามยังไม่สิ้นสุด เพราะซารูมานที่หนีไปจากไอเซนการ์ดได้เดินทางไปถึงไชร์ และเข้ายึดแคว้นนั้นไว้ เมื่อโฟรโดกับเพื่อนเดินทางกลับไปถึง ก็หาทางแก้ไข ยึดแคว้นไชร์คืนกลับมาได้ ถึงกระนั้น ไชร์ก็ไม่ใช่ไชร์อย่างที่พวกเขาเคยรู้จักอีกต่อไป ในตอนท้ายเล่ม โฟรโดที่ยังคงเจ็บบาดแผลจากนาซกูลอยู่เสมอ ก็ตัดสินใจเดินทางข้ามทะเลไปสู่แผ่นดินตะวันตกพร้อมกับบิลโบและเหล่าเอลฟ์
......................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น