ฉายาเอเลสซาร์ เอสเทล โทรองกิล ราชาคนจร-พญาเหยี่ยวแห่งความหวัง(Elessar Estel Thorongil)
ตำแหน่งกษัตริย์แห่งอาณาจักรมนุษย์(King Elessar Telcontar.of Gondor.) พระบิดา อาราธอร์นที่สอง(Arathorn II)
พระมารดา กิลไรน์(Gilraen)
พี่น้อง ฟินร็อด โอโรเดร็ธ อังก์รอด และอายก์นอร์
คู่ครอง องค์หญิงอาร์เวน อุนโดเมียล (Arwen Undómiel)
บุตร องค์ชายเอลดาริออน และองค์หญิง 1 พระองค์
อาวุธตกทอด อันดูริล ตีขึ้นจากเศษดาบหักนาร์ซิล(Narsil) ,และแหวนบาราเฮียร์(Ring of Barahir)
กำเนิด 1 มีนาคม ปี 2931 แห่งยุคที่สาม
สิ้นชีวิต อายุ 210ปี - ยุคที่สี่ ปี 120
เผ่าพันธ์มนุษย์เผ่าดูเนไน์(Dunedain)
-ตระกูลอิซิลดูร์-คนเหนือ (Rangers..of.the North)
ปกครองอาณาจักรใหม่อาร์นอร์ และกอนดอร์
ปรากฏตำนานเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์(Movie Dvd:The Lord of the Rings)
อารากอร์น (Aragorn) เป็นหนึ่งในตัวละครที่สำคัญในเรื่อง ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ ของเจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เขาปรากฏตัวในช่วงกลางของหนังสือลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตอน มหันตภัยแห่งแหวน เมื่อเขาได้พบกับ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ และคณะ เขามีเชื้อสายของ อิซิลดูร์ กษัตริย์องค์สุดท้ายของอาณาจักร กอนดอร์ และเป็นทายาทเพียงผู้เดียวที่หลงเหลืออยู่ หลังจากสิ้นสุดสงครามแหวน อารากอร์นได้รวมสองอาณาจักรแห่งอาร์นอร์และกอนดอร์ไว้ด้วยกัน และปกครองอย่างร่มเย็นต่อเนื่องมาจนจวบสิ้นอายุขัย

อารากอร์น เป็นชื่อที่ตั้งตาม อารากอร์นที่หนึ่งผู้เป็นบรรพบุรุษ เป็นบุตรของอาราธอร์นที่สองและภรรยากิลไรน์ อารากอร์นสืบเชื้อสายโดยตรงมาจากเอเลนดิล ซึ่งเขาเป็นผู้ที่มีลักษณะและหน้าตาคล้ายกับเอเลนดิลมากที่สุดในหมู่ทายาททุกคน เขายังมีเชื้อสายของ เอลรอส ทาร์-มินยาตูร์ ฝาแฝดครึ่งเอลฟ์ของลอร์ดเอลรอนด์ และกษัตริย์องค์แรกของนูเมนอร์ บรรพบุรุษของเขาอาร์เวดุยได้แต่งงานกับฟิริเอลจากสายตระกูลของอนาริออน มีบุตรคือ อารานาร์ธ นั่นทำให้อารากอร์นเป็นทายาทคนสุดท้ายทางฝั่งของอนาริออนด้วย
เมื่ออารากอร์นอายุเพียง 2 ปี บิดาของเขาถูกสังหารระหว่างตามล่าพวกออร์ค เอลรอนด์จึงรับเขาเป็นบุตรบุญธรรมและอาศัยอยู่ในริเวนเดลล์ ตามความประสงค์ของมารดา เชื้อสายของเขาจึงถูกเก็บเป็นความลับ ด้วยนางกลัวว่าถ้าอารากอร์นรู้ความจริง เขาจะต้องพบชะตากรรมเดียวกับที่บิดาและปู่ของเขาได้รับ อารากอร์นถูกเปลี่ยนชื่อเป็น เอสเตล (ภาษาซินดารินแปลว่า 'ความหวัง') และไม่ให้บอกความจริงแก่เขาจนกว่าอารากอร์นจะอายุครบ 20 ปี
เมื่อถึงเวลานั้น เอลรอนด์ก็ได้บอกความจริงแก่"เอสเตล" เรื่องชื่อและประวัติของบรรพบุรุษของเขา และได้มอบ เศษดาบนาร์ซิลและแหวนแห่งบาราเฮียร์ ให้แก่อารากอร์น อารากอร์นได้พบกับอาร์เวนเป็นครั้งแรกเมื่อเขาอายุได้ 20 ปี เวลานั้นอาร์เวนกลับมาจากลอธลอริเอนเพื่อมาเยี่ยมบ้าน อารากอร์นตกหลุมรักอาร์เวนทันที

ระหว่างปี 2957 - 2980 อารากอร์นเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว เขาได้ไปรับราชการอยู่กับ กษัตริย์เธงเกล แห่ง โรฮัน และสจ๊วตเอคเธลิออนที่สองแห่งกอนดอร์ เขาใช้ชื่อในระหว่างปลอมตัวนี้ว่า โธรองกิล (หมายถึง อินทรีแห่งดวงดาว) เขาเคยนำกองเรือเล็กๆ ไปปราบกบฏในอุมบาร์
ปี 2980 ได้เผากองเรือคอร์แซร์ไปมากและสังหารผู้นำของคนเถื่อนพวกนั้น หลังจากชัยชนะในอุมบาร์ "โธรองกิล" ก็จากไป
หลังจากนั้น อารากอร์นเดินทางไปยังลอธลอริเอน และได้พบกับอาร์เวนอีกครั้ง เขามอบมรดกประจำตระกูลคือ แหวนแห่งบาราเฮียร์(Ring of Barahir) ให้แก่อาร์เวน แล้วที่บนเนินเครินอัมรอธ อาร์เวนจึงได้ตัดสินใจมอบความรักให้แก่เขา เป็นการละทิ้งความเป็นเอลฟ์ เลือกเดินสู่ชะตากรรมของมนุษย์ คือความตาย
เปิดตำนานลอร์ดออฟเดอะริงส์ Lord of The Ring

หลังจากนั้นจึงได้เข้าร่วม คณะพันธมิตรแห่งแหวน มีผู้ร่วมเดินทางรวม 9 คนอันมาจาก เผ่าเอลฟ์ คนแคระ และมนุษย์ จากอาณาจักรต่าง ๆ เรียกการประชุมนี้ว่า การประชุมของเอลรอนด์ เพื่อเป็นหาข้อสรุปและแนวทางในการต่อต้านเหล่าปีศาจ ที่ประชุมสรุปว่าหนทางเดียวที่จะต่อกรกับเจ้าแห่งความมืดได้ คือต้องทำลายแหวนเอกเสียเท่านั้น โดยต้องนำแหวนไปทิ้งลงในปล่องภูเขาไฟในเมาท์ดูม ซึ่งเป็นไฟที่ใช้สร้างมันขึ้นมา โฟรโดรับอาสาภารกิจนี้ เอลรอนด์จึงแต่งตั้ง "คณะพันธมิตรแห่งแหวน" เพื่อช่วยเหลือโฟรโดในระหว่างการเดินทาง
คณะพันธมิตรแห่งแหวนเดินทางผ่านทุ่งหญ้า เทือกเขา เข้าไปในเหมืองมอเรีย เมื่อพวกเขาเข้าไปในเหมือง กลับถูกลอบโจมตีโดยพวกออร์คกับบัลร็อกที่เข้าไปยึดเหมืองนั้นไว้ก่อนแล้ว แกนดัล์ฟต่อสู้กับบัลร็อกเพื่อให้ชาวคณะหลบหนีไปได้ แต่ตัวเขาเองต้องตกลงไปในปล่องเหวอันมืดมิดใต้มอเรีย เมื่อคณะพันธมิตรหนีออกจากมอเรียได้ อารากอร์นจึงพาคนที่เหลือหนีไปยังลอธลอริเอน อาณาจักรของเลดี้กาลาเดรียลและลอร์ดเคเลบอร์น

อารากอร์นเห็นท่าไม่ดี กำลังที่มีไม่มีทางเอาชนะได้อย่างแนนอนจึง นำกำลังส่วนหนึ่งแยกไปตาม "เส้นทางมรณะ" (Paths of the Dead) เพื่อขอความช่วยเหลือจากกองทัพปีศาจผู้ตกอยู่ในคำสาปของบรรพกษัตริย์กอนดอร์ ให้ช่วยสกัดทัพเรือคอร์แซร์ที่ยกมาจากอุมบาร์ จากนั้นแกนดัล์ฟ อารากอร์น และคนทั้งหมดเข้าร่วมในการสงครามใหญ่ที่เซารอนหมายเข้ายึดมินัสทิริธ เรียกว่าสมรภูมิทุ่งเพเลนนอร์ ทัพโรฮันมาถึงทันเวลาและป้องกันเมืองมินัสทิริธไว้ได้ แต่เซารอนยังมีกองกำลังจำนวนมากเตรียมพร้อมยกหนุนมาอีก ฝ่ายกองทัพอิสระชนแห่งมิดเดิลเอิร์ธไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าโจมตีประตูดำแห่งมอร์ดอร์ แม้จะไม่มีหวังได้รับชัยชนะก็ตาม ทั้งนี้ก็ด้วยความหวังเพียงประการเดียวคือหันเหความสนใจของเซารอนมาที่พวกตน เพื่อซื้อเวลาให้โฟรโดสามารถเข้าไปทำลายแหวนได้
แซมตามไปช่วยโฟรโดออกมาได้ แล้วเดินทางข้ามที่ราบอันหฤโหดของมอร์ดอร์เข้าไปถึงเมาท์ดูม แต่ในที่สุดแหวนมีอำนาจเหนือจิตใจของโฟรโดมากจนเขาไม่สามารถโยนมันทิ้งลงไปในภูเขาไฟ และประกาศตัวเป็นเจ้าของแหวน แต่กอลลัมเมื่อเห็นโฟรโดประกาศครอบครองแหวน ก็เข้ายื้อแย่งและกัดนิ้วที่สวมแหวนของโฟรโดจนขาด มันตื่นเต้นดีใจจนขาดสติแล้วลื่นไถลตกลงไปในปล่องภูเขาไฟ ทำให้แหวนถูกทำลายไป เหล่าปีศาจและสิ่งก่อสร้างทั้งปวงที่สร้างขึ้นด้วยอำนาจดวงจิตของเซารอนจึงพังพินาศไปพร้อมกับแหวนด้วย และกองทัพของอิสระชนแห่งมิดเดิลเอิร์ธเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ
อารากอร์นได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งกอนดอร์ และอภิเษกกับอาร์เวน บุตรีของเอลรอนด์ แต่ผลกระทบจากสงครามยังไม่สิ้นสุด เพราะซารูมานที่หนีไปจากไอเซนการ์ดได้เดินทางไปถึงไชร์ และเข้ายึดแคว้นนั้นไว้ เมื่อโฟรโดกับเพื่อนเดินทางกลับไปถึง ก็หาทางแก้ไข ยึดแคว้นไชร์คืนกลับมาได้ ถึงกระนั้น ไชร์ก็ไม่ใช่ไชร์อย่างที่พวกเขาเคยรู้จักอีกต่อไป ในตอนท้ายเล่ม โฟรโดที่ยังคงเจ็บบาดแผลจากนาซกูลอยู่เสมอ ก็ตัดสินใจเดินทางข้ามทะเลไปสู่แผ่นดินตะวันตกพร้อมกับบิลโบและเหล่าเอลฟ์
......................
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น