Explorer World Christopher Columbus
-อุปราชและผู้ว่าราชการอินดีส
ตำแหน่งนักสำรวจทางทะเล (Maritime explorer)
สัญชาติเจนัว(Genoa-Italy)
บิดาโดมินิโก้.โคลัมโบ (Domenico Colombo)
มารดาซูซานน่า(Susanna Fontanarossa)
เกิดเมื่อ31ตุลาคม ค.ศ.1451
-เกิดที่เจนัว.ปัจจุบันคืออิตาลี(Genoa-Italy)
ลูกเรือ ---
เสียชีวิต อายุ 54 ปี 20พฏษภาคม 1526
-บายาโดลิด, ราชอาณาจักรคาสตีล (Valladolid-Spain)
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus)เป็นทั้งนักเดินเรือและนักสำรวจทางทะเล เขาออกทะเลตั้งแต่อายุ 14 ปี พอมีอายุได้ 30 ปี เขาก็เป็นนักเดินเรือและผู้นำร่องที่เชี่ยวชาญมากคนหนึ่ง ด้วยวัยเพียง 13 ปีเขาก็คิดได้แล้วว่า การเดินทางไปเอเชียได้โดยมุ่งหน้าไปทางตะวันตกมีความเป็นไปได้ เขาได้รับแรงบันดาลใจจากเพื่อนของบรูเนลเลสกีที่ชื่อ เปาโล ทอสคาเนลลี อายุรแพทย์และนักบันทึกลักษณะต่างๆ ของจักรวาล ซึ่งความรู้ของทอสคาเนลลี อาจไม่ได้ยังประโยชน์อันใดต่อโคลัมบัส หากเขาไม่ได้ทำการค้นคว้าอย่างละเอียดถ้วนทั่วโดยตัวเองทั้งในเรื่องของ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ จดหมายเหตุ ปรัชญา และศิลปะอื่นๆ
โคลัมบัสมีความเชื่อว่าโลกนั้นมีรูปร่างเป็นทรงกลม และสามารถเดินทางไป อินเดีย ได้โดยการเดินเรือไปทางทิศตะวันตก ซึ่งความเชื่อนี้เป็นที่ขัดแย้งกับแนวความเชื่อในยุคนั้นว่าโลกนั้นมีรูปทรง แบน เขาวางแผนการเดินทางใหม่ขึ้นมาซึ่งต่างจากนักสำรวจคนอื่นโดยสิ้นเชิง เขาศึกษาการเดินเรือจากแหล่งความรู้ต่างๆ เท่าที่พอจะหาได้ เช่น จากคัมภีร์ไบเบิล วรรณกรรมโบราณ และหนังสือวิทยาศาสตร์ซึ่งมีอยู่น้อยเล่ม หรือแม้กระทั่งบันทึกการเดินทางของมาร์โคโปโล พ่อค้าชาวเวนิสผู้เดินทางไปถึงทวีปเอเชียได้สำเร็จและเล่าถึงเส้นทางสายไหม และพูดคุยกับกะลาสีเรือ ท้ายที่สุดเขาตัดสินใจว่าเขาสามารถค้นพบเอเชียได้เร็วกว่าโดยการแล่นเรือไป ทางทิศตะวันตกโดยการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไป
หลังจากที่เขามั่นใจในแผนการเดินเรือครั้งนี้แล้ว ก็ได้เข้าพบกษัตริย์แห่งโปรตุเกสเพื่อขอให้เป็นองค์อุปถัมภ์ ในเวลานั้นกษัตริย์แห่งโปรตุเกสคือพระเจ้าจอห์นที่ 2 ซึ่งใส่พระทัยรับฟังข้อเสนอแนะจากเหล่านักเดินเรือที่เข้ามาเสนอแผนการเดิน เรือเป็นจำนวนมาก และทรงมีพระประสงค์ที่จะเผยแพร่ศาสนาคริสต์ไปยังดินแดนที่ค้นพบใหม่ แต่หลังจากที่พระองค์และคณะราชสภาได้อ่านแผนการเดินเรือของโคลัมบัสแล้ว ก็ไม่มีใครเชื่อว่าแผนการเดินเรือเช่นนั้นของเขาจะเป็นไปได้ ในตอนนั้นโคลัมบัสรู้สึกเสียใจมาก ซ้ำร้ายภรรยาของเขาก็เสียชีวิตลงอย่างกระทันหัน โคลัมบัสจึงได้นำดีเอโกบุตรชายวัย 5 ขวบของเขาเดินทางออกจากประเทศโปรตุเกสเพื่อไปพำนักกับญาติที่เมืองอัวล์บา เมืองท่าแห่งหนึ่งของประเทศสเปน และที่เมืองแห่งนี้โคลัมบัสได้เสาะหาความรู้เพิ่มเติมใหม่ๆ ด้วยการศึกษางานด้านจักรวาลวิทยา เปรียบเทียบแผนที่ทางภูมิศาสตร์ฉบับต่างๆ และหาช่องทางการสนับสนุนแผนเดินทางของเขา
เขาจึงเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าเฟอร์ดินานด์แห่งอรากอน และพระนางอิสซาเบลลาแห่งกัสตีญา ซึ่งปกครองประเทศสเปนร่วมกัน แต่ในตอนแรกก็ได้รับการปฏิเสธด้วยเหตุผลเช่นเดียวกับพระเจ้าจอห์นที่ 2 แต่โคลัมบัสก็หาได้ละความพยายามไม่ เขาเพียรพยายามติดตามราชสำนักเพื่อขอให้ดำเนินการตรวจสอบแผนการเดินทางของ เขา และรอคอยคำตอบจากราชสำนัก
โคลัมบัสไม่ลดละความพยายามที่จะขอให้พระเจ้าเฟอร์ดินานด์แห่งอรากอน และพระนางอิสซาเบลลาแห่งกัสตีญาให้การสนับสนุนเขา จนในที่สุดแล้วก็ได้รับความช่วยเหลือพระเจ้าเฟอร์ดินันด์และพระนางอิสซาเบลลา
ลูกเรือในคณะของโคลัมบัสมีจำนวนไม่มาก เรือซานตามาเรียมีลูกเรือ 40 คน เรือปินตามี 26 คน เรือนิญามี 24 คน โคลัมบัสเป็นกัปตันเรือซานตามาเรีย กัปตันเรือปินตาคือมาร์ติน อะลองโซ ปินซอน ซึ่งมีน้องชายอยู่ 2 คน คือ ฟรานซิสโก เป็นต้นหนเรือปินตา และวีเซนเต เป็นกัปตันเรือนิญา เรือทั้งสามลำออกจากท่าเล็กๆ ในเขตปาโลส เด ลา ฟรอนเตรา ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศสเปน เมื่อตอนพลบค่ำของวันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 1492 เรือทั้งสามลำพร้อมลูกเรือนับ 90 คน
โคลัมบัสมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ช่วยในการเดินเรือมากมาย แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือเข็มทิศและเครื่องวัดตำแหน่งท้องฟ้า นอกจากนี้เขายังรู้จักวิธีคำนวณระยะทางโดยดูจากตำแหน่งของดวงอาทิตย์และดวง ดาวต่างๆ อีกด้วย เขาเดินเรือตามเส้นทางที่คำนวณไว้ได้ค่อนข้างตรงทาง โดยอาศัยเครื่องวัดความสูงของท้องฟ้าและเข็มทิศ ส่วนการวัดความเร็วใช้วิธีโยนเศษไม้ลงน้ำตรงใกล้หัวเรือแล้วจับเวลาโดยใช้ นาฬิกาทรายแล้วนำมาคำนวณ เวลาผ่านไป 3 อาทิตย์ ทุกคนอ่อนล้า สถานการณ์จึงตึงเครียด มีเค้าว่าลูกเรือจะลุกฮือขึ้นหลายครั้ง แต่ในที่สุดประกายของความหวังก็มีให้เห็นเมื่อย่างเข้าสัปดาห์ที่ 4 เพราะลูกเรือเริ่มสังเกตุเห็นนกที่กำลังโฉบเหยื่อในทะเล และเห็นเศษไม้กิ่งไม้ลอยอยู่ตามกระแส
เมื่อเวลาตี 2 ของวันที่ 12 ตุลาคม ยามบนหอคอยเรือปินตาก็เห็นฝั่งทะเลอยู่ห่าง 10 กิโลเมตร เป็นเงาตะคุ่มอยู่ในแสงจันทร์ ลูกเรือโห่ร้องแสดงความยินดี ดินแดนแห่งนี้คือบาฮามาส และมีชาวพื้นเมืองที่มีผิวสีแดงอาศัยอยู่ เขาจึงเอาเรือเทียบฝั่งและขึ้นสำรวจประกาศเอาเป็นดินแดนเมืองขึ้นของสเปน เสีย โคลัมบัสขนานนามดินแดนแห่งนี้ว่า “ซานซัลวาดอร์” หลังจากนั้นเขาออกเดินเรืออีกครั้ง และใช้เวลาทั้งสิ้น 36 วันจึงได้พบแผ่นดินใหม่ และโคลัมบัสเชื่ออย่างสนิทใจว่าที่นี่คือหมู่เกาะที่มาร์โคโปโลเขียนถึงนั่น เอง
การพบเกาะครั้งนี้ ทำให้โคลัมบัสเชื่อว่าเขามาใกล้ประเทศจีนมากแล้ว เขาจึงออกเดินทางสำรวจจากเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่งสืบต่อไปเพื่อหาทางไป สู่ประเทศจีนให้ได้ โดยโคลัมบัสคิดว่าตนเองพบเกาะที่อยู่ใกล้ญี่ปุ่น จากนั้นเขาเดินเรือต่อไปจนถึงคิวบา จนได้พบผู้คนผิวคล้ำซึ่งเขาเรียกว่า “ชาวอินเดีย” เพราะคิดว่าตนเองได้แล่นเรือมาถึงมหาสมุทรอินเดียแล้ว และเขาได้พบเห็นชาวพื้นเมืองนำใบไม้มามวนแล้วจุดไฟสูบ ซึ่งนั่นก็คือใบยาสูบนั่นเอง พอดีกับเสบียงอาหารจวนหมด เขาจึงยกกองเรือกลับสเปนเสียก่อน
สามเดือนภายหลังจากที่ค้นพบโลกใหม่เขากลับไปที่สเปนและนำเอา ตัวอย่างทองคำและทรัพย์สมบัติอื่นๆและคนอินเดียพื้นเมือง 7 คน กลับไป โคลัมบัสได้รับการต้อนรับอย่างมีเกียรติ พระราชินีอิซาเบลลาประกาศถึงความสำเร็จนี้ว่า "มีความสำคัญ ยิ่งใหญ่เหลือคณา" และเชิญให้โคลัมบัสอยู่ในแถวหน้าสุดของคณะผู้ติดตามราชวงศ์ในงานราชพิธี และหลังจากนั้นเขาได้เดินทางกลับไปยังดินแดนใหม่ที่เขาพบอีกสามครั้ง โดยที่ไม่มีครั้งใดเลยที่เขาจะฉุกใจคิดว่า ดินแดนนี้คืออเมริกาในปัจจุบัน เพราะเขาเชื่อโดยสมัครใจว่าดินแดนที่เขาพบคือเอเชีย
การเดินทางครั้งสุดท้ายของโคลัมบัสสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1504 เมื่อเขาเดินทางกลับมาถึงเมืองซานลูกา เด บาร์ราเมดา ด้วยร่างกายที่อ่อนล้าและนัยน์ตาใกล้บอด
เขาเสียชีวิตในวันที่ 20 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1506 ที่เมืองบาญาโดลิด และถูกฝังที่อารามใกล้เซวิลล์ โดยทิ้งให้ดีเอโก บุตรชายคนโตสืบบรรดาศักดิ์ต่อจากเขา หลังการสิ้นชีวิตของเขา พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ได้ทรงสร้างรูปอนุสรณ์เพื่อเป็นการรำลึกถึงเขา โดยจารึกคำอุทิศว่า
“โคลัมบัส ผู้คนพบโลกใหม่ให้กับราชวงศ์กัสตีญาและเลออง"
.....................
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น