LEGEND Sauron เซารอนราชาอมนุษย์ผู้ไร้บัลลังก์

Author: Pirate Onepiece / ป้ายกำกับ:

Myth Sauron Lord of the Rings

ฉายากอร์เธาร์ (Gorthaur)จอมเวทผู้น่าสะพรึงกลัว
-เจ้าแห่งโลก-อาร์ดา(Lord.of the Earth)
-เจ้าแห่งบารัด-ดูร์(Lord.of Barad-Dûr)
-เนโครมันเซอร์ เจ้าแห่งไสยเวท (The Lord of the Rings)
ตำแหน่งลอร์ดมืดแห่งมอร์ดอร์(The Dark Lord)
เผ่าพันธ์เทพไมอา-ไอนัวร์(Ainur)
-จิตแห่งไมอา.ฝ่ายมาร-เมลคอร์ (Maiar of Aulë)
ปกครองอาณาจักรมอร์ดอร์(Lord of Mordor)
กำเนิด ยุคกาลก่อนก่อเกิดโลกแห่งอาร์ดา(Arda)
สิ้นชีวิต ยุคที่สาม 25 มีนาคม  3019
อาวุธตกทอดคทา(Scepter-Mace),แหวนเอก(One..Ring) ,ดาบ(Sword) ,พลังเวทย์มนดำ(Powers of Maiar)
ปรากฏตำนานเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์(Movie Dvd The.Lord.of the Rings)

          เซารอน (Sauron)เจ้าแห่งโลกมืด เป็นตัวละครหลักฝ่ายอธรรมในนิยายเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ของ เจ.อาร์.อาร์.โทลคีนเดิมทีถูกออกแบบให้มีรูปลักษณ์ในแบบมนุษย์หมาป่าและในหลายรูปแบบของอสูรกายก่อนจะลงตัวที่รูปแบบอันทรงอำนาจภายใต้เกราะอันแข็งแกร่ง  เดิมทีเค้าเป็นเทพที่ไม่มีร่างเนื้อในชื่อ ไมอา ซึ่งทำงานรับใช้จอมมารมอร์กอธ ภายหลังจึงตั้งตัวเป็นใหญ่ เซารอนเป็นผู้หลอมสร้างแหวนเอก ซึ่งบรรจุพลังอำนาจมหาศาลเอาไว้ภายใน และสามารถบังคับควบคุมใครก็ตามที่สวมแหวนแห่งอำนาจวงอื่นๆอีก 19 วงค์
 http://legendtheworld.blogspot.com/2013/08/galadriel-queen-of-elf.html




        ในตำนาน ยุคแรกเริ่ม ซิลมาริลลิออน กล่าวว่า เซารอนแต่เดิมเป็นเทพไมอา ในสังกัดของอาวเล..เทพวิศวกรรม (เหตุนี้เขาจึงมีทักษะในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ สูงมาก) แต่แล้วถูกเทพอสูรเมลคอร์ ล่อลวงให้ไปรับใช้ตน เซารอนจึงแปรพักตร์ไปเข้ากับเมลคอร์  เซารอนได้เป็นผู้ช่วยคนสำคัญ เป็นสมุนเอก เป็นเสนาบดีใหญ่ของเมลคอร์มานับแต่ยุคก่อนยุค เมื่อครั้งที่เมลคอร์ ซ่องสุมกำลังพลในตรุใต้ดินที่ อุทุมโน เซารอนเป็นผู้ควบคุมดูแลป้อมตะวันตกที่อังก์บันด์ แต่เมื่อเมลคอร์พ่ายแพ้ต่อปวงเทพและอุทุมโนถูกรื้อทำลายปวงเทพกลับหาตัวเซารอนไม่พบ 

นครมอร์ดอร์ในยุคแรกเริ่ม - Mordor
         เซารอนได้มาเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของเมลคอร์ หรือ มอร์กอธ อีกครั้ง เมื่อเขาได้รับอภัยโทษจากปวงเทพ แล้วกลับก่อเหตุทำลายทวิพฤกษา ชิงซิลมาริล และหนีกลับมายังมิดเดิลเอิร์ธ ซ่องสุมกำลังขึ้นใหม่ที่อังก์บันด์  เซารอนมีทักษะทางด้านเวทมนตร์คาถาด้วย สมุนบริวารของเขาที่สำคัญคือพวกมนุษย์หมาป่า เช่น เดรากลูอิน และยังมีนางปีศาจค้างคาว ธูริงเกวธิล ทำหน้าที่เป็นคนส่งสารประจำตัว  เซารอนยกทัพตีหอคอยมินัสทิริธของฟินร็อด ซึ่งตั้งอยู่บนโทลซิริออนได้ และยึดมาเป็นฐานที่มั่นของตน เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น โทล-อิน-เการ์ฮอธ หอคอยนี้ภายหลังเป็นสถานที่สิ้นพระชนม์ของฟินร็อดเอง เมื่อพระองค์เสี่ยงชีวิตเข้าปกป้องเบเรน ระหว่างปฏิบัติภารกิจชิงซิลมาริล  
          หลังสิ้นสุดยุคที่หนึ่ง เมื่อปวงเทพยกทัพมาปราบมอร์กอธ ทำลายอังก์บันด์และแผ่นดินเบเลริอันด์ทั้งหมดจมลงสู่ใต้ทะเล เทพเอออนเวขอให้เซารอนยินยอมกลับไปขออภัยโทษต่อปวงวาลาร์ แต่เซารอนกลัวเกินกว่าจะกลับไปได้ เขาจึงหนีหายไป


           ยุคที่สอง เซารอนกลับมาตั้งอาณาจักรของตนขึ้นใหม่อย่างเงียบๆ ในแผ่นดินมอร์ดอร์ และเริ่มเกลี้ยกล่อมมนุษย์ชาวพื้นเมืองให้เข้าเป็นพวกกับตน เขาปลอมตัวเป็นร่างงดงามชื่อ อันนาทาร์ เข้าไปยังอาณาจักรเอเรกิออน พวกเอลฟ์ช่างแห่งเอเรกิออนไม่ได้ระแวงสงสัย และยังชื่นชมกับทักษะฝีมือทางการช่างอันเป็นเลิศ จึงต้อนรับอันนาทาร์เป็นอันดี และได้ช่วยสร้าง แหวนแห่งอำนาจ ขึ้น 16 วง ซึ่งต่อมาได้แก่ แหวนแห่งคนแคระ 7 วง กับ แหวนแห่งมนุษย์ 9 วง  เซารอนกลับมาลักลอบสร้างแหวนเอกธำมรงค์ ในเมาท์ดูม ด้วยอัคคีในภูเขาไฟนั้น พร้อมทั้งแบ่งพลังส่วนหนึ่งของตนใส่ลงไปในแหวนด้วย ทำให้แหวนเอก มีอำนาจบังคับบัญชาเหนือแหวนทั้ง 16 วง โดยสลักคำในแหวนเป็นภาษามอร์ดอ ว่า

 "วงเดียวเพื่อครองพิภพ  วงเดียวเพื่อค้นพบจบหล้า  
วงเดียวเพื่อสาปสิ้นทุกวิญญา  พันธนาไว้ในความมืดมน"

          แต่ เคเลบริมบอร์ เอลฟ์ช่างผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมอีกคนหนึ่ง ก็แอบสร้าง แหวนแห่งเอลฟ์ ขึ้น 3 วง โดยเซารอนไม่ได้มีส่วนในการสร้างด้วย 
       ครั้นเมื่อเซารอนสวมแหวนเอกของตนในเมาท์ดูม ผู้สวมแหวนเอลฟ์ก็รู้สึกได้ทันที และจึงได้ตระหนักว่า ตัวตนที่แท้จริงของ อันนาทาร์ คือใคร  
          เมื่อนั้นจึงเกิดเป็นสงครามระหว่างเอลฟ์กับเซารอน เอเรกิออนถูกตีแตก แต่เซารอนก็ไม่สามารถยึดเมืองไว้ได้ เพราะทัพมนุษย์จากนูเมนอร์ ยกมาช่วย ดังนั้นเซารอนจึงต้องถอยกลับไปตั้งหลักในมอร์ดอร์ใหม่  จนถึงสมัยของ อาร์-ฟาราโซน ทัพนูเมนอร์ยกมามิดเดิลเอิร์ธ หวังจะแผ่ขยายอำนาจ เซารอนก็แกล้งทำเป็นยอมจำนน ให้ชาวนูเมนอร์จับตัวกลับไปในฐานะเชลย แต่แล้วเขาใช้ลิ้นเจรจาอันหลักแหลม จนได้เป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของกษัตริย์ ยุยงให้อาร์-ฟาราโซน นำกองทัพบุกไปอามัน เพื่อช่วงชิงความเป็นอมตะ  ปวงเทพสั่งสอนความยโสของอาร์-ฟาราโซน โดยบันดาลให้เกาะนูเมนอร์จมสมุทร แล้วยกทวีปอามันออกไปเสียจากพิภพอาร์ดา แล้วบันดาลให้โลกกลม ทำให้ไม่มีใครสามารถเดินทางไปยังอามันได้อีก นอกจากพวกเอลฟ์  
        เซารอนอยู่บนเกาะนูเมนอร์ในคราวจมสมุทร แต่เขากลายร่างเป็นสายลมอันดำมืด และหนีออกมาจากการจมสมุทรครั้งนั้นได้ทันเวลา กลับไปยังมอร์ดอร์ที่มั่นของตน  เอเลนดิลกับบุตรทั้งสอง คืออิซิลดูร์ กับ อนาริออน ก็หนีจากการจมสมุทรของนูเมนอร์ได้เช่นกัน และมาตั้งอาณาจักรอาร์นอร์และกอนดอร์ บนแผ่นดินมิดเดิลเอิร์ธ พวกเขาสร้างหอคอยมินัสอิธิลไว้ที่ไหล่เขาเอเร็ดลิธุย ชายอาณาเขตมอร์ดอร์ เพื่อคอยเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวของเซารอน


         ปลายยุคที่สอง ทัพเอลฟ์กับมนุษย์ร่วมมือกันอีกครั้ง จัดตั้งเป็น ทัพพันธมิตรครั้งสุดท้าย ยกไปโจมตีมอร์ดอร์ เกิดการสัประยุทธ์ใหญ่ที่สมรภูมิทุ่งดาร์กอลัด เอเลนดิลและกิลกาลัดสิ้นพระชนม์ แต่อิซิลดูร์ใช้ดาบนาร์ซิลของพ่อ ตัดนิ้วของเซารอนพร้อมกับแหวนเอก ขาดสะบั้น ทำให้อำนาจของเซารอนพังทลาย กลายเป็นดวงจิตล่องลอย ต้องหนีไปพักฟื้นอยู่นานก่อนจะสามารถแสดงร่างเป็นกายเนื้อได้อีก
          เข้าสู่ยุคที่สาม ของอาร์ดา สองปีต่อมา อิซิลดูร์กับกองกำลังของเขาโดนพวกออร์คซุ่มโจมตีที่แถบทุ่งแกลดเดน ระหว่างการเดินทางไปริเวนเดลล์ อิซิลดูร์ต้องธนูอาบยาพิษสิ้นพระชนม์ ส่วนแหวนเอกก็เลื่อนหลุดจากนิ้วมือของเขาหายไปในแม่น้ำอันดูอิน และนอนแน่นิ่งอยู่ใต้แม่น้ำนั้นเป็นเวลานานกว่าสองสหัสวรรษ
         เซารอนเริ่มปรากฏตัวบนมิดเดิลเอิร์ธอีกครั้งในฐานะ เนโครมันเซอร์ ดังที่ปรากฏในเรื่อง เดอะฮอบบิท โดยซุ่มตัวอยู่ในโดลกุลดัวร์ หอไสยเวทย์ ทางตอนใต้ของป่าเมิร์ควูด  เมื่อชาวสภาขาวล่วงรู้ ก็เตรียมการโจมตีโดลกุลดัวร์ แต่เซารอนรู้ทัน หนีกลับมามอร์ดอร์เสียก่อน แล้วเริ่มซ่องสุมกองกำลังขึ้นใหม่ โดยมีราชันขมังเวท หรือ วิชคิง แห่งอังก์มาร์ เป็นบริวารคนสำคัญ  เซารอนพยายามติดตามหาแหวนเอก ด้วยอำนาจส่วนใหญ่ของตนถูกแบ่งไปบรรจุอยู่ในแหวนนั้น เขาตามล่ากอลลัม และตามหาตัว 'แบ๊กกิ้นส์' ผู้ถือแหวนคนถัดไป แต่ก็ไม่สำเร็จ 

          เมื่อแหวนเอกถูกทำลายลงในเมาท์ดูม ร่างจำแลงของเซารอนที่สร้างขึ้นด้วยอำนาจอันมีเหลืออยู่น้อยนิด ก็สูญสลายไป  แต่เซารอนเป็นเทพไมอา เขาจึงไม่ตาย ได้แต่เป็นดวงจิตอันไร้พลัง ล่องลอยไปมาอยู่ในอาร์ดาเท่านั้น
........................

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น