Myth Clytie Nymph of Sunflower
ตำแหน่งนางเทพธิดาแห่ง
-นางอัปสรแห่งดอกทานตะวัน
ปรากฏตำนานกรีซโบราณ(GREEK Mythology)
สถานที่พำนักหนองน้ำ,ทะเลสาบ,ทุ่งหญ้า(Lake, Pond)
พระบิดาเทพแห่งสมุทรเนปจูน(Oceanus)
พระมารดาเทวีทีธิส(Tethys)
พี่น้องบรรดานางไม้ทั้ง5 ธาตุ(Nymphs)
สัญลักษณ์ประจำตัวคือดอกทานตะวัน(Sunflower)
ไคลทีหรือไคลทีเอ (Clytie)เทพีดอกทานตะวัน เมื่อเธอเจริญวัยเป็นสาวเธอมิได้ใส่ใจเทพหรือมนุษย์หนุ่มใด ๆ เลย อยู่มากระทั่งวันหนึ่ง เกิดพายุพัดกระหน่ำมาอย่างรุนแรง ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยพัดมาถึงข้างใต้ทะเลเลย พายุได้พัดพาสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ใต้ทะเลขึ้นมาข้างบน ซึ่งไคลทีก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นด้วย เมื่อไคลทีถูกคลื่นทะเลซัดขึ้นมาถึงฝั่ง ก็ฟื้นคืนสติ ก็มองเห็นแสงแดด พืชพันธุ์ไม้ต่าง ๆ และสิ่งที่สวยที่สุด ก็คือแสงตะวันที่สาดส่อง ไคลทีเพิ่งมีโอกาสเห็นแสงอาทิตย์เป็นครั้งแรก ก็เกิดความรักในพระอาทิตย์ขึ้นมาคือเทพอพอลโลทุกวัน
ตำนานกรีซโบราณกล่าวว่า มีเทพธิดาแห่งดอกไม้นามว่าไคลทีทุกวันจะเฝ้ามอง ดูความงดงามของดวงอาทิตย์ วันแล้ว วันเล่าติดต่อกันถึง ๙ วัน โดยไม่เป็นอันกินอันนอน จนกระทั่งเทพทั้งหลาย สงสารนาง เพราะเทพอพอลโลไม่เคยเหลียวแล จนร่างกายของไคลที เปลี่ยนไปเพราะกาลเวลาในโลกมนุษย์ ในที่สุด เทพและเทวี ทั้งหลายก็เห็นใจ แปลงนางให้เป็นไม้ดอกชนิดหนึ่งชื่อ ทานตะวัน เมื่อมีดอกบานก็จะหันตามดวงอาทิตย์ตลอดเวลา ตั้งแต่เช้ายันค่ำ เมื่อเริ่มวันใหม่ก็จะหันตามดวงอาทิตย์ใหม่ จนกว่าดอกจะเหี่ยวเฉาไปตามธรรมชาติ **คราวใดที่เห็น ดอกทานตะวัน นั่นคือ ไคลที เทพอัปสรผู้มีรักแท้มอบแด่ สุริยเทพ.. ดอกทานตะวัน จึงเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อมั่น ความมั่นคง รักเดียวใจเดียว และมีนัยถึงศิลปะที่งดงาม ถ้าได้รับดอกทานตะวันเหมือนได้รับสารว่า
"รักของฉันมั่นคงและภักดีต่อเธอเสมอ.....
ดุจดั่งทานตะวันที่ไม่เคยหันมองผู้ใดนอกจากดวงอาทิตย์"
บางตำนานตามตำรา ฮีเรียส(Hesiod)กล่าวว่า มีหญิงงามนางหนึ่งนามว่า ไคลธี สาเหตุที่นางถูกกักขังอาจเป็นเพราะความงามที่ไม่มีหญิงใดมาเทียบเทียมหรือ เพราะความใจดำของบิดาที่สั่งปิดตายยังสถานที่ที่นั่นโดยไร้ความเมตตาปราณี นางได้จำใจนิ่งอดทนอดกลั้นกับการที่ต้องถูกจองจำอย่างไร้อิสรภาพ
แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อนางสำรวจรอบๆ บริเวณซึ่งขณะนี้ไร้คนคุ้มกันหรือแม้แต่ข้ารับใช้ เพราะปัญญาอันเฉียบแหลม เธอได้หนีออกมาจากที่นั่นเพื่อไปยลแสงแรกแห่งรุ่งอรุณ ดวงอาทิตย์ที่มอบแสงนั้นมันรูปร่างหน้าตาอย่างไรนางมิเคยรู้มาก่อน การหลุดพ้นครั้งนี้นางต้องได้เชยชมสมดั่งใจเป็นแน่แท้ กลางทุ้งหญ้าเขียวขจี นางนั่งเฝ้ามองรอคอยที่จะยลดวงอาทิตย์ที่แสนอบอุ่น
ซึ่งขณะนั้น เทพอะพอลโลควบม้าผ่านคุ้งขอบฟ้ากว้างพร้อมกับแสงร้อนแรงพาดผ่าน เพียงแรกพบนางถึงกับหลงใหลชายหนุ่มรูปงามนึกภาพตามในฝันตลอดการกลับมายัง โบสถ์ และทุกๆ วันนางหนีออกมาเพื่อที่จะรอพบพานชายในดวงจิตถึงแม้ต้องเจอกับขวากหนามหรือ การลงทัณฑ์เช่นไรนางมิเคยกลัว ขอเพียงได้เฝ้ามองชายหนุ่มที่จะควบม้าอย่างสง่างามข้ามผ่านท้องฟ้ากว้างมา พร้อมกับแสงอรุณที่มิอาจล่วงรู้ความรู้สึกที่นางมอบให้เพียงสักนิด นางได้แต่หวังว่าหากคงจะมีสักวันที่ชายหนุ่มเหลียวมามองเธอบ้าง
เจ้าหญิงไคลธีตัดสินใจหนีออกจากการพันธนาการตลอดชีวิตด้วยความรู้สึกที่มั่น คงต่อเทพอะพอลโลที่นางได้เฝ้ามองมาตลอด ถึงแม้จะไม่อยู่ในสายตาแต่เพราะความรักที่เปี่ยมล้นดวงจิตนางจึงตั้งมั่นอธิ ฐานต่อทวยเทพบนฟากฟ้า ด้วยความรักที่นางมอบให้ชายคนหนึ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจตลอดมา หากเธอลับลาไปขอให้เธอได้เป็นทวยเทพแห่งผกา ที่ตั้งมั่นอยู่ตราบสิ้นแสงอัจจิมาตลอดกาล หากขอให้เส้นผมนุ่มสีทองผ่องอำพันเป็นกลีบดอกเหลือง ดวงอาทิตย์นั้นไม่อาจผลักไส ขอเพียงสถิตอยู่ในดวงหทัยเทพอะพอลโลจอมใจข้าตลอดไปด้วยเทอญ
หลังจากเจ้าหญิงไคลธีสิ้นลม เรียวขาของเธอได้หยั่งรากลึกลงไปในพื้นพสุธา แขนและลำตัวก็กลับกลายเป็นลำต้นใบไม้เขียว ใบหน้าอันอ่อนหวานกลับกลายเป็นสีน้ำผึ้ง เส้นผมไหมสีทองของเธอกลับกลายเป็นกลีบดอกไม้สีเหลืองสดใส คอยแหงนมองเทพแห่งดวงอาทิตย์ไปทุกแห่งหนโดยมิมีทางเหน็ดเหนื่อยและจะคอยหัน มองตลอดจนกว่าดวงอาทิตย์ของเธอจะลาลับจากคุ้งขอบฟ้า ด้วยความรักและความภักดีตลอดกาล ดอกทานตะวันจึงเปรียบเสมือนดอกแห่งความรักที่ซื่อสัตย์และมั่นคง หากมอบดอกทานตะวันให้คนรัก คนๆ นั้นก็คือคนที่เราจะรักและซื่อสัตย์ไปตลอดกาล เฉกเช่นนางไคลธีที่รักดวงอาทิตย์ของเธอตราบสิ้นนานเท่านาน
.........................
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น