ตำแหน่งกษัตริย์แห่งบริเตน(Kings of Britain.)
พระบิดาอูเธอร์..เพนดรากอน(Uther Pendragon)
พระมารดานางอิเกอร์นา(Igraine of Cornwall.)
บรรพบุรุษ King Ambrosius
ที่ปรึกษาพ่อมดเมอร์ลิน(Merlin)
คู่ครองราชินีกุยนิเวียร์ (Guenhuuara)
กำเนิด ประมาณปี ค.ศ.465
สิ้นชีวิต ประมารณค.ศ. 542 - ดินแดนอวาลอน
อาวุธตกทอดดาบเอกซ์คาลิเบอร์(legendary Sword of calibur) ,จอกศักดิ์สิทธิ์(Holy Grail)
ปรากฏหนังสือเจฟฟรีย์แห่งมอนมอธ ในคริสต์ศตวรรษที่.12 เรื่อง - ประวัติกษัตริย์แห่งบริเตน(Historia Regum Britanniae)
-คิงอาร์เธอร์ ศึกจอมราชันย์อัศวินล้างปฐพี(Movie.Dvd-King ArthurX
กษัตริย์อาเธอร์ (King Arthur) เป็นกษัตริย์อังกฤษผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในตำนานเล่าขานในฐานะวีรบุรุษในยุคกลาง ซึ่งได้ปกป้องเกาะบริเตนจากการรุกรานของชาวแซ็กซอนในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 6 รายละเอียดส่วนใหญ่เกี่ยวกับกษัตริย์อาเธอร์ปรากฏอยู่ในเรื่องเล่าขาน ตำนานพื้นบ้าน และวรรณกรรมที่แต่งขึ้น นักประวัติศาสตร์ยังคงถกเถียงกันอยู่ว่ากษัตริย์อาเธอร์มีตัวตนอยู่ในประวัติศาสตร์จริงหรือไม่
..............................
เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับอาเธอร์ค่อนข้างกระจัดกระจาย อยู่ตามแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น Annales Cambriae, Historia Brittonum และในบันทึกของนักบุญกิลดาส นอกจากนี้ชื่อของ อาเธอร์ ยังปรากฏอยู่ในบทกวีเก่าแก่หลายแห่ง เช่นในกวีนิพนธ์ Y Gododdin เป็นต้น
กษัตริย์อาเธอร์ในตำนานได้พัฒนาขึ้นจนกลายเป็นบุคคลที่น่าสนใจในระดับนานาชาติ ก็ด้วยผลงานเขียนอันเปี่ยมด้วยจินตนาการและความเหนือจริงของเจฟฟรีย์แห่งมอนมอธ ในคริสต์ศตวรรษที่ 12โดยกล่าวถึง นักรบผู้ยิ่งใหญ่ผู้ปกป้องบริเตนไว้จากศัตรูทั้งที่เป็น มนุษย์และสิ่งเหนือมนุษย์ บางครั้งก็เป็นผู้วิเศษในตำนานพื้นบ้าน ในยุคต่อๆ มา เจฟฟรีย์พรรณนาภาพของอาเธอร์เป็นกษัตริย์แห่งบริเตนผู้ต่อสู้ต้านทานการ รุกรานของพวกแซ็กซอน และก่อร่างสร้างอาณาจักรแห่งบริเตน ไอร์แลนด์ นอร์เวย์ และกอล
ทางประวัติศาสตร์ เชื่อว่าอาเธอร์เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ โดยเป็นหัวหน้านักรบในยุคบริเตนสมัยหลังโรมัน ซึ่งนำการรบป้องกันการรุกรานของชาวแองโกล-แซ็กซอน ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ 5 - 6 ใน Historia Brittonum มีเนื้อความที่บันทึกด้วยภาษาละตินใน คริสต์ศตวรรษที่ 9 ซึ่งเป็นลายมือของนักบวชชาวเวลส์ชื่อ Nennius ได้บันทึกรายละเอียดการรบ 12 ครั้งของอาเธอร์เอาไว้ ในจำนวนนี้รวมถึงยุทธการมอนส์บาโดนิคัส หรือการรบที่ภูเขาบาดอน ซึ่งระบุไว้ว่า อาเธอร์ได้ต่อสู้ตามลำพังด้วยมือเปล่า และสังหารศัตรูไปถึง 960 คน
ในคริสต์ศตวรรษที่ 10 จากบันทึก Annales Cambriae ซึ่งเชื่อมโยงอาเธอร์กับการรบที่ภูเขาบาดอนเช่นเดียวกัน ระบุว่าการรบนี้เกิดขึ้นราว ค.ศ. 516-518 นอกจากนี้ยังกล่าวถึงการรบที่คัมลานน์ ที่ซึ่งทั้งอาเธอร์และมอร์เดร็ดถูกสังหารในราวปี ค.ศ. 537-539 รายละเอียดเหล่านี้ช่วยสนับสนุนยืนยันต่อเหตุการณ์ใน Historia Brittonum และยืนยันว่าอาเธอร์ได้เข้าร่วมในการรบที่ภูเขาบาดอนจริง
เมื่อขาดหลักฐานสนับสนุนที่หนักแน่นเพียงพอ นักประวัติศาสตร์ในยุคหลังโดยมากจึงไม่นับว่าอาเธอร์เป็นหนึ่งในกษัตริย์ที่ มีตัวตนจริง นักประวัติศาสตร์ โทมัส ชาลส์-เอ็ดเวิร์ด กล่าวว่า "ตามหลักฐานเท่าที่มีอยู่ บางคนอาจกล่าวได้ว่ามีอาเธอร์อยู่ในประวัติศาสตร์จริง แต่... นักประวัติศาสตร์ไม่อาจรับรองฐานะใด ๆ ให้เขาได้" แนวโน้มในยุคปัจจุบันค่อนข้างไปทางที่ไม่ยอมรับตัวตนของอาเธอร์มากยิ่งขึ้น ขณะที่นักประวัติศาสตร์ยุคก่อนจะข้องใจในตัวอาเธอร์น้อยกว่า นักประวัติศาสตร์ จอห์น มอร์ริส ได้รวมเอาการครองราชย์ที่เป็นที่รู้จักของกษัตริย์อาเธอร์เอาไว้ในหนังสือ ลำดับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ไอร์แลนด์และบริเตนสมัยหลังโรมันของเขา ชื่อ The Age of Arthur (1973) อย่างไรก็ดีเขาก็มีหลักฐานน้อยเกินกว่าจะยืนยันได้ว่าอาเธอร์มีตัวตนอยู่จริง
✪ ตำนานอาเธอร์กษัตริย์แห่งบริเตน ✪
ในยุคหลังโรมันมีตำนานเล่าขานถึงอัศวิน อูเธอร์ เพนดรากอน ครั้ง หนึ่งได้ปลอมตัวเข้าไปในทัพของกอร์ลัวส์ฝ่ายศัตรูด้วยมนตร์พลางตาของเมอร์ลิ น แล้วลักลอบได้เสียกับนางอิเกอร์นา ภริยาของกอร์ลัวส์ ที่ทินทาเจล เมื่ออูเธอร์เสียชีวิต บุตรชาย อาเธอร์ในวัย 15 ปี ได้สืบต่อตำแหน่งกษัตริย์แห่งบริเตนและได้เข้าร่วมในการศึกหลายครั้งหลายครา
จากนั้นได้ก่อตั้งอาณาจักรอาเธอร์ขึ้นหลังจากเอาชนะไอร์แลนด์ และ หมู่เกาะออร์คนีย์ หลังจากสิบสองปีอันสันติผ่านพ้นไป อาเธอร์เริ่มต้นการแผ่ขยายอาณาจักรอีกครั้ง โดยเข้ายึดครองนอร์เวย์ เดนมาร์ก และกอล ในเวลาที่เขาพิชิตกอล ดินแดนนั้นยังอยู่ในอารักขาของอาณาจักรโรมัน การรุกรานของเขาคราวนั้นจึงนำไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างอาณาจักรของเขากับ อาณาจักรโรมัน อาเธอร์กับเหล่านักรบของเรา ซึ่งรวมถึง Kaius (เคย์) , Beduerus (เบดิเวียร์) และ Gualguanus (กาเวน) สามารถเอาชนะจักรพรรดิโรมัน ลูเชียส ทิเบเรียส ได้ที่กอล
แต่เมื่อเขาเตรียมจะกรีธาทัพต่อไปยังโรม อาเธอร์ก็ได้ข่าวว่า Modredus (มอร์เดร็ด) หลาน ชายของเขาผู้ที่อาเธอร์ละไว้ให้ดูแลอารักขาบริเตน ได้แต่งงานกับภรรยาของอาเธอร์ คือ Guenhuuara (กุยนิเวียร์) และยึดบัลลังก์มาเป็นของตน อาเธอร์จึงหวนกลับบริเตนและสังหารมอร์เดร็ดที่ ริมฝั่งแม่น้ำแคมแบลมใน คอร์นวอลล์ แต่ตัวอาเธอร์เองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก เขามอบตำแหน่งต่อให้กับญาติของเขาชื่อ คอนสแตนติน แล้วจึงเดินทางจากไปยังดินแดนอวาลอนเพื่อรักษาบาดแผลของตน หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเขาอีกเลย
ตำนานดาบแห่งราชันต์ เอ็กซ์คาลิเบอร์
✪✪ Sword of Excalibur ✪✪
ดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์คือดาบในตำนานของกษัตริย์อาเธอร์ ที่เล่าลือว่ามีอำนาจวิเศษ หรือมีความเกี่ยวข้องกับสิทธิ์อันชอบธรรมในการปกครองแผ่นดินอังกฤษ ในบางครั้งก็เรียกดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ว่า ดาบในศิลา (Sword in the Stone) ซึ่งใช้ในการพิสูจน์สิทธิ์ครองแผ่นดินของอาเธอร์ แต่ในงานเขียนหลายเวอร์ชันอาจแยกดาบทั้งสองนี้เป็นคนละเล่มกัน ดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์นี้ปรากฏอยู่ในตำนานกษัตริย์อาเธอร์มานานแล้ว ในภาษาเวลช์เรียกดาบนี้ว่า Caledfwlch
ในตำนานอาเธอร์ฉบับโรแมนซ์ มีหลายเรื่องที่บอกว่าอาเธอร์เป็นเจ้าของดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ ในเรื่อง Merlin ของโรเบิร์ต เดอ โบรอน อาเธอร์ได้ครองบัลลังก์เนื่องจากสามารถดึงดาบออกจากศิลาได้ ตามท้องเรื่องนั้นกล่าวว่า ไม่มีผู้ใดจะดึงดาบออกจากศิลาได้หากมิใช่ "กษัตริย์ที่แท้จริง" ซึ่งใช้ในการค้นหากษัตริย์หรือทายาทที่แท้จริงของอูเธอร์ เพนดรากอน โดยมากเชื่อกันทั่วไปว่าดาบในศิลานี้ก็คือ เอ็กซ์คาลิเบอร์ ในภายหลังได้มีการระบุอย่างชัดแจ้งในงานเขียนที่เรียกชื่อว่า Vulgate Merlin Continuation ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในตำนานลันซล็อตกับจอกศักดิ์สิทธิ์
แต่ในตำนานยุคหลังจาก Vulgate Merlin เรื่องกลับกลายเป็นว่า ท่านหญิงแห่งทะเลสาบเป็น ผู้มอบดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ให้แก่อาเธอร์หลังจากที่เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ แล้ว นางเรียกดาบนี้ว่า "เอ็กซ์คาลิเบอร์ ดาบอันสามารถตัดเหล็กกล้า" ใน เรื่อง Vulgate Mort Artu อาเธอร์สั่งให้ Girflet ขว้างดาบลงไปในทะเลสาบแห่งมนตรา หลังจากล้มเหลวถึง 2 ครั้งเขาจึงสามารถทำตามคำสั่งพระราชาผู้บาดเจ็บหนักได้ โดยมีมือหนึ่งยื่นขึ้นจากทะเลสาบมารับดาบไว้ ในฉบับแปลภาษาอังกฤษของมาโลรีภายหลังได้เปลี่ยนตัวผู้ขว้างดาบเป็นเบดิเวียร์
ตำนานจอกศักดิ์สิทธิ์-มงกุฏแห่งกษัตริย์
✪✪ The Holy Grail ✪✪
จอกศักดิ์สิทธิ์ เป็นจาน ชาม หรือถ้วย ซึ่งพระเยซูทรงใช้ในพระกระยาหารมื้อสุดท้าย เล่าว่ามีอำนาจวิเศษสถิตย์อยู่ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ โจเซฟ แห่ง อริมาเทีย และตำนานจอกศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏในงานเขียนของโรเบิร์ต เดอ โบรอน เรื่อง Joseph d'Arimathie (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12) โดยโจเซฟได้รับจอกมาจากพระเยซูหลังฟื้นคืนพระชนม์ และได้เดินทางพร้อมผู้ติดตามไปยังเกาะบริเตนใหญ่ จากโครงเรื่องนี้ งานเขียนในยุคต่อมาจึงต่อเติมว่า โจเซฟใช้จอกรองรับพระโลหิตของพระเยซู และได้จัดเตรียมตระกูลผู้ภักดีเพื่อคอยพิทักษ์รักษาจอกเอาไว้ให้ปลอดภัย ภารกิจการค้นหาจอกศักดิ์สิทธิ์นับเป็นหัวใจสำคัญส่วนหนึ่งในตำนานกษัตริย์อาเธอร์ โดยปรากฏครั้งแรกในงานเขียนของ เครเตียง เดอ ทรัวส์
ตำนานได้นำเอาเรื่องราวในความเชื่อของชาวคริสเตียนมาประสมประสานกับตำนานเคลติกว่าด้วยเรื่องอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ นักประวัติศาสตร์ศึกษาวิวัฒนาการของตำนานจอกศักดิ์สิทธิ์โดยสืบค้นย้อน หลังไป ในตอนแรกมันเป็นเพียงตำนานที่มาพร้อมกับวรรณกรรมโรแมนซ์ ในราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 โดยเก็บเอาเกร็ดจากตำนานพื้นบ้านยุคก่อนคริสเตียนมาใช้ วรรณกรรมโรแมนซ์เกี่ยวกับจอกในช่วงแรกๆ เป็นเรื่องของเพอร์ซิวาล ต่อมาจึงค่อยๆ ถักทอเข้าไปในเนื้อหาของตำนานกษัตริย์อาเธอร์ นอกจากนี้ยังตำนานจอกศักดิ์สิทธิ์บางเรื่องเข้าไปเกี่ยวพันกับตำนานเหยือก ศักดิ์สิทธิ์ (Holy Chalice) ด้วย
บางตำนานได้เล่าว่าเมื่อใครได้ครอบครองจอกศักดิ์สิทธ์แล้วนั้นจะมีอำนาจมาก และเมื่อใครได้ดื่มน้ำจากจอกศักดิ์สิทธ์แล้วจะเป็นอมตะ แต่ว่าบางตำนานก็บอกว่าถ้าได้ดื่มน้ำจากจอกศักดิ์สิทธ์แล้วเมื่อมีโรคภัยไข้ เจ็บหรือเป็นอะไรทางร่างกาย เช่น โดนธนูยิงใส่เมื่อดื่มน้ำผ่านจอกนี้แล้วแล้วเอาน้ำนั้นมาราดลงบนแผลที่เป็น แล้วแผลนั้นจะหายเป็นปลิดทิ้ง
.............................
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น