Legend Anastasia องค์หญิงน้อยแสนเศร้าอะนัสตาซียา

Author: Pirate Onepiece / ป้ายกำกับ:

Myth Anastasia Nikolaevna of Russi
ฉายาตำนานองค์หญิงคนสุดท้ายของรัฐเซีย
ตำแหน่งแกรนด์ดัชเชสอะนัสตาซียา นีคะลายีฟนาแห่งรัสเซีย(Grand Duchess Anastasia Nikolaevna of Russia)
สัญชาติ จักรวรรดิรัซเซีย(Russian Empire)
พระบิดาพระเจ้านีคาไลที่ 2 (Nicholas II)
พระมารดา อเล็กซานดรา ไฟโยโดรัฟนา(Alexandra Feodorovna)
พี่น้องดัชเชสโอลก้า.,ดัชเชสตาเตียนา,ดัชเชสมาเรียและอเล็กซี่( Olga,Tatiana, Maria.and Alexei Nikolaevich)
เกิดเมื่อ 18 มิถุนายน 1901
เสียชีวิตเมื่อ อายุ 17 ปี 29 วัน - 17 กรกฎาคม 1918

      แกรนด์ดัชเชสอะนัสตาซียา นีคะลายีฟนา แห่งรัสเซีย(Grand Duchess Anastasia Nikolaevna of Russia)หรือมักเรียกสั้น ๆ ตามสำเนียงรัสเซียว่า อะนัสตาซียา (Anastasia)เป็นพระราชธิดาพระองค์สุดท้องของพระเจ้านีคาไลที่ 2    อะนัสตาซียาและสมาชิกคนอื่น ๆ ในพระราชวงศ์ทรงถูกตำรวจเบิลชีวีก(Bolshevik)ปลงพระชนม์พร้อมกันที่ย่านยีคาทีรินบูร์ก (Ekaterinburg) ทว่าข้อเท็จจริงที่ว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์ค้นไม่พบที่ฝังพระศพของอะนัสตาซียานั้น ทำให้มีข่าวลือว่าพระองค์อาจทรงรอดพ้นมรณภัยและหลบหนีมาได้ เสียงลือเสียงเล่าอ้างนี้แพร่ทั่วไป และมิได้รับการพิสูจน์
http://legendtheworld.blogspot.com/2013/10/elizabeth-i-of-england-virgin-queen.html







          เดือนมกราคม 2008 นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียว่า ได้พบซากศพตอตะโกสองร่าง เป็นร่างเด็กชายหนึ่ง และเด็กหญิงอีกหนึ่ง เมื่อเดือนสิงหาคม 2007 ในถิ่นแถวใกล้เคียงย่านยีเคอทีรินบูร์ก ครั้นวันที่ 30 เมษายน 2008 นักนีติวิทยาศาสตร์รัสเซียยืนยันว่า ร่างทั้งสองนั้นเป็นพระศพพระโอรสและพระธิดาพระเจ้านีคาไลที่เคยค้นหากันไม่ เจอ กระทั่งเดือนมีนาคม 2009 ไมเคิล คอเบิล (Michael Coble) อาจารย์ประจำศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์ทางดีเอ็นเอแห่งกองทัพสหรัฐอเมริกา แถลงว่า ผลการทดสอบทางพันธุกรรมชั้นสุดท้ายพิสูจน์ว่า หนึ่งในร่างทั้งสองที่พบนั้นเป็นอะนัสตาซียา และเป็นอันยุติว่า ไม่มีผู้ใดรอดจากการถูกปลงพระชนม์

        เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1917 นิโคลัส ผู้มิได้เป็นพระมหากษัตริย์อีกต่อไป และได้ถูกทหารยามเรียกอย่างดูถูกว่า "นิโคลัส โรมานอฟ" กลับมารวมกับครอบครัวอีกครั้งที่พระราชวังอเล็กซานเดอร์ในซาร์สกอเย เซโล เขาถูกขังไว้ในบ้านตามหมายกักกันของรัฐบาลเฉพาะกาลพร้อมกับครอบครัว สมาชิกราชวงศ์ถูกสอบสวนอย่างหยาบคายในคืนแรกที่นิโคลัสกลับมาถึงบ้าน ในคืนเดียวกันนั้น ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งบุกรุกเข้าไปในหลุมศพของเกรกอรี รัสปูติน และยกศพที่กำลังเปื่อยเน่าขึ้นมาด้วยแท่งไม้ แล้วขว้างศพนั้นไปบนกองฟืนแล้วราดด้วยน้ำมัน ร่างนั้นถูกเผาเป็นเวลาหกชั่วโมงจนเถ้าถ่านลอยไปกับสายลม
         อดีตซาร์ยังคงสงบและมีภูมิฐาน กระทั่งยืนกรานให้บุตรธิดามารับการสอนวิชาประวัติศาสตร์กับภูมิศาสตร์กับตน ด้วย เขายังสนใจติดตามข่าวความเป็นไปของสงครามทางหนังสือพิมพ์อย่างกระตือรือร้น ซึ่งในนั้นก็มีทั้งวิธีที่สื่อปัจจุบันตีพิมพ์เรื่องราวอันน่าตื่นตกใจ ระหว่างรัสปูตินกับจักรพรรดินี "การสารภาพ" ของอดีตข้าราชบริพารและชีวิตส่วนตัวของผู้อ้างตนเองเป็น "คนรัก" ของธิดาของซาร์ทั้งสี่

 เรื่องราวการประหารชีวิตราชวงศ์โรมานอฟ
          เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1917 รัฐบาลเฉพาะกาลของอเล็กซานเดอร์ เคเรนสกี ย้ายสมาชิกราชวงศ์ไปยังโตโบลสก์ โดยอ้างว่าเพื่อปกป้องสมาชิกราชวงศ์จากกระแสการปฏิวัติที่เพิ่มสูงขึ้น พวกเขาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของอดีตผู้ว่าการด้วยความสะดวกสบายพอสมควร หลังจากพรรคบอลเชวิคขึ้น มามีอำนาจในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1917 สภาพการถูกคุมขังก็ได้เข้มงวดขึ้นและการอภิปรายเพื่อนำตัวนิโคลัสมาพิจารณา คดีมีบ่อยครั้งขึ้น นิโคลัสถูกห้ามสวมอินทรธนู และทหารยามวาดรูปลามกหวัด ๆ บนรั้วเพื่อล่วงเกินธิดาของเขา เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1918 ราชวงศ์ถูกจัดให้ดำรงชีพด้วยอาหารปันส่วนของทหาร ซึ่งหมายถึงการแยกจากข้าราชบริพาร 10 คน และการยกเนยเหลวและกาแฟให้เป็นของฟุ่มเฟือย


         เมื่อบอลเชวิคมีกำลังกล้าแข็งขึ้น นำไปสู่การต่อต้านเต็มรูปแบบเมื่อถึงฤดูร้อน นิโคลัส อเล็กซานดรา และธิดา มาเรีย ถูกย้ายไปยังเยคาเทรินบุร์กในเดือนเมษายน อเล็กซีป่วยเกินกว่าจะร่วมเดินทางไปกับพ่อแม่และอยู่กับพี่สาว โอลกา ทาเทียนาและอนาสตาเซีย โดยไม่ออกจากโตโบลสก์จนกระทั่งเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1918 ราชวงศ์ถูกคุมขังโดยมีผู้ติดตามที่เหลืออยู่ไม่กี่คนในบ้านอีปาเตียฟในเยคา เทรินบุร์ก ซึ่งถูกเรียกว่าเป็น บ้านจุดประสงค์พิเศษ
                วันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1918 กองทัพเช็คกำลังรุกเข้าใกล้เยคาเทรินบุร์ก ซึ่งไม่ทราบมาก่อนว่าสมาชิกราชวงศ์รัสเซียกำลังถูกคุมขังอยู่ตามหมายกักกัน พรรคบอลเชวิคซึ่งเชื่อว่าทหารเช็คกำลังอยู่ในระหว่างภารกิจช่วยเหลือราชวงศ์ รัสเซีย ตื่นตระหนกและประหารชีวิตยามรักษาการณ์ เหตุผลที่แท้จริงที่ทหารเช็คถูกส่งมายังเยคาเทรินบุร์กนั้นเพื่อป้องกันทาง รถไฟทรานส์ไซบีเรีย ซึ่งฝ่ายขาวมีการควบคุมสมบูรณ์ สถานการณ์แวดล้อมมีผลอย่างมากต่อการประหารชีวิตราชวงศ์รัสเซีย


         การประหารชีวิตมีขึ้นเมื่อราวเที่ยงคืน คาคอฟ ยูรอฟสกี ผู้ดูแลบ้านจุดประสงค์พิเศษ สั่งให้แพทย์ประจำราชวงศ์โรมานอฟ ดร. ยูจีน บอตคิน ให้ปลุกสมาชิกราชวงศ์ที่กำลังหลับใหลและให้พวกเขาแต่งตัว สมาชิกโรมานอฟได้รับคำสั่งให้เข้าไปในห้องกึ่งห้องพักใต้ดินขนาด 6x5 เมตร นิโคลัสขอเก้าอี้สองตัวสำหรับตัวเขาเองกับภรรยา ยูรอฟสกีประกาศว่ คณะกรรมการบริหารอูราลจึงตัดสินใจประหารชีวิตคุณ... เมื่ออาวุธถูกยกขึ้น จักรพรรดินีและแกรนด์ดัชเชสโอลกา พยายามจะทำเครื่องหมายกางเขน แต่ถูกยิงก่อนที่จะทำเสร็จ นิโคลัสเสียชีวิตทันที เพชฌฆาตคนอื่น ๆ เริ่มต้นยิงจนกระทั่งเหยื่อที่วางแผนไว้เสียชีวิตทั้งหมด และมีการยิงต่อไปอีกหลายนัด ประตูถูกเปิดเพื่อปล่อยควันที่คละคลุ้งออกไป ยังมีผู้รอดชีวิตบางคน
         ดังนั้น พี. แซด. เยียร์มาคอฟจึงแทงพวกเขาเหล่านั้นด้วยดาบปลายปืน เพราะเสียงตะโกนอาจได้ยินไปถึงข้างนอก บุคคลสุดท้ายที่เสียชีวิตคือ อนาสตาเซีย ทาเทียนา โอลกา และมาเรีย ผู้พกพาเพชรหนักกว่า 1.3 กิโลกรัมในเสื้อผ้า จึงช่วยป้องกันได้ในระดับหนึ่ง
       อย่างไรก็ตาม พวกเขาถูกแทงด้วยดาบปลายปืนเช่นกัน โอลกาถูกปืนยิงเข้าที่ศีรษะ กล่าวกันว่าอนาสตาเซียและมาเรียหมอบอิงกับกำแพงและเอามือปิดบังศีรษะของตน ด้วยความกลัวจนกระทั่งมาเรียถูกยิงล้มลง และอนาสตาเซียถูกสังหารด้วยดาบปลายปืน ตัวยูรอฟสกีเองเป็นผู้สังหารทาเทียนาและอเล็กซี ทาเทียนาเสียชีวิตจากกระสุนที่ถูกยิงเข้าด้านหลังศีรษะ อเล็กซีถูกกระสุนสองนัดที่ศีรษะ ตรงหลังหูพอดีอันนา เดมิโดวา สาวรับใช้ของอเล็กซานดรา รอดชีวิตจากการประหารรอดแรกแต่ถูกแทงจนเสียชีวิตติดกับกำแพงหลังขณะพยายาม ป้องกันตนเองด้วยหมอนใบเล็กที่เธอพกซึ่งบรรจุไปด้วยอัญมณีและเครื่องประดับ มีค่า


       ประกาศอย่างเป็นทางการปรากฏในสื่อแห่งชาติในอีกสองวันให้หลัง โดยรายงานว่าพระมหากษัตริย์ถูกประหารชีวิตตามคำสั่งของอูราลิสปอลคอม (คณะกรรมการบริหารอูราล) อันมีสาเหตุมาจากการมาถึงของพวกเชโกสโลวัค ถึงแม้ว่าบันทึกอย่างเป็นทางการของโซเวียตจะระบุว่าการตัดสินใจดังกล่าวเป็นความรับผิดชอบของอูราลิสโปลคอม ลีออน ทร็อตสกีได้ระบุในบันทึกประจำวันของเขาว่า การลอบสังหารเกิดขึ้นตามอำนาจของเลนิน
           ในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อมีข่าวลือแพร่กระจายในเยคาเทรินบุร์กเกี่ยวกับจุดที่นำศพไปทิ้ง ทำให้ยูรอฟสกีเคลื่อนย้ายศพแล้วไปซ่อนไว้ที่อื่น  เมื่อพาหนะซึ่งบรรทุกศพมาเกิดเสียกลางทางที่จะไปถึงจุดที่เลือกใหม่ ยูรอฟสกีก็ได้จัดการใหม่อีก โดยฝังร่างส่วนใหญ่ในหลุมที่ผนึกและอำพรางไว้  บนถนนคอพท์ยาคี ถนนลูกรังซึ่งปัจจุบันไม่ใช้แล้วห่างออกไป 19 กิโลเมตรทางเหนือของเยคาเทรินบุร์ก ร่างที่เหลืออยู่ของราชวงศ์และผู้ติดตาม ยกเว้นเด็กสองคน
..........................

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น