LEGEND Jackson ไมเคิล แจ็กสัน มูนวอล์กในตำนาน

Author: Pirate Onepiece / ป้ายกำกับ:

Myth Michael Jackson King of Pop

ฉายาราชาเพลงป็อป.4 ทศวรรษ(King of Pop) 
- เด็กอัจฉริยะ(The Genius)
เกียรติยศ ศิลปินแห่งทศวรรษ(Artist of the Decade)
- ตำนานที่ยังคงอยู่(Living Legend Award)
อาชีพ นักร้อง, นักแต่งเพลง, นักแสดง, นักเต้น, นักออกแบบท่าเต้น, โปรดิวเซอร์เพลง, นักธุรกิจเครื่องดนตรี
สัญชาติ สหรัฐอเมริกัน(United States) 
บิดา นายโจเซฟ วอลเตอร์ "โจ" แจ็กสัน("Joe")
มารดาแคเทอรีน..เอสเตอร์(Katherine Esther)
พี่น้อง รีบี ,แจ็กกี ,ติโต , เจอร์เมน ลา ,โทยา ,มาร์ลอน ,แรนดี และเจเน็ต
คู่สมรส แต่งงาน 8 ครั้งกับชาย 7คน
บุตรธิดา ไมเคิล.ฮาวเวิร์ด.ไวล์ดิ้ง ,คริสโตเฟอร์.เอ็ดเวิร์ด.ไวล์ดิ้ง ,อลิซาเบธ.ฟรานซิส ,มาเรีย.เบอร์ตัน
อาชีพ แสดงภาพยนตร์มากกว่า 50 เรื่อง 1942–2003
เกิดเมื่อ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1958 
- แกรี รัฐอินดีแอนา สหรัฐอเมริกา(GaryIndiana - US)
เสียชีวิต อายุ 50 ปี - 25 มิถุนายน ค.ศ. 2009
- ลอสแอลจิลิส แคริฟลอเนีย(California - US)

        ไมเคิล แจ็กสัน (Michael Jackson) มีชื่อเต็มว่า ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน ( Michael Joseph Jackson)  เขาเป็นลูกคนที่ 7 ของครอบครัวแจ็กสัน ปรากฏตัวครั้งแรกในระดับอาชีพด้านดนตรีตั้งแต่อายุ 11 ปี โดยเป็นหนึ่งในสมาชิกวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์  ในปี 1982 มีผลงานอัลบั้มที่ชื่อ Thriller ซึ่งถือเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาล ลีลาบนเวทีของแจ็กสันและมิวสิกวิดีโอ แจ็กสันสร้างความโด่งดังกับท่าเต้นซับซ้อนโดยใช้ร่างกายมากมายหลาย ๆ ท่า อย่างเช่นท่าเต้นหุ่นยนต์และท่าเต้นมูนวอล์ก ส่วนเอกลักษณ์ด้านดนตรีและเสียงร้องของเขายังเป็นอิทธิพลให้กับศิลปินแนวฮิปฮอป ป็อป และอาร์แอนด์บี ให้อีกหลายคน อิทธิพลเพลงของเขามีแพร่กระจายไปสู่คนหลายรุ่น หลายสมัย
http://legendtheworld.blogspot.com/2013/10/michael-jackson-king-of-pop.html.............................





           ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน  โตมากับความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับพ่อ เขาพูดกันว่าขาถูกทารุณทั้งทางร่างกายและจิตใจจากพ่อของเขาเองตั้งแต่ครั้งยังเด็ก ที่ต้องฝึกซ้อมอย่างไม่หยุดหย่อน ถูกตีและถูกด่าทอ แจ็คสันเคยเล่าว่าเค้าเคยถูกพ่อจับห้อยขาเดียวและตีเขาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยมือของเขา ตีเขาที่หลังและบั้นท้าย  พ่อเค้ามักจะขัดขาหรือผลักลูกชายของเขาเข้ากำแพง มีคืนหนึ่งขณะที่แจ็กสันหลับอยู่ โจเซฟปีนเข้าห้องผ่านทางหน้าต่างห้องนอน สวมหน้ากากแล้วเข้าห้องมาด้วยเสียงตะโกน โจเซฟพูดว่าเขาต้องการสอนให้ลูก ๆ ของเขาไม่เปิดหน้าต่างทิ้งไว้เวลานอน
           การสัมภาษณ์อีกบทหนึ่งใน Living with Michael Jackson (2003) เขาปิดหน้าตัวเองด้วยมือและเริ่มร้องไห้เมื่อกำลังพูดถึงการถูกทารุณในวัยเด็ก แจ็กสันหวนรำลึกว่า โจเซฟนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมถือเข็มขัดขณะที่เขาและพี่น้องซ้อมการแสดง และ "ถ้าคุณไม่ทำให้ถูกใจ เขาจะฉีกคุณเป็นชิ้น ๆ จัดการคุณจริง ๆ"


        ในปี 1964 แจ็กสันและมาร์ลอนเข้าร่วมวง "แจ็กสันบราเทอร์ส"ก่อตั้งโดยพี่ชายเขา แจ็กกี ติโต และเจอร์เมน   ต่อมาแจ็กสันก็เริ่มเป็นนักร้องประสานและนักเต้น เมื่ออายุ 8 ปี เขาและเจอร์เมนเป็นนักร้องนำ และเปลี่ยนชื่อวงเป็นเดอะแจ็กสันไฟฟ์ ออก แสดงในคลับคนผิวดำและตามงานต่าง ๆ เป็นวงสตริงที่เรียกว่า "ชิตลินเซอร์คิต" ที่พวกเขามักจะเล่นเป็นวงเปิดให้กับการเต้นระบำเปลื้องผ้าและการโชว์สำหรับผู้ใหญ่อื่น ๆ 
       ในปี 1966 พวกเขาชนะรายการท้องถิ่นงานใหญ่ ที่พวกเขาแสดงความสามารถโดยการแสดงเลียนแบบศิลปินโมทาวน์ เพลงดัง ต่างๆ   จนได้รับฉายาว่า "เป็นเด็กอัจฉริยะ" กับ "พรสวรรค์ทางด้านดนตรีอย่างเต็มเปี่ยม"  หลังจากที่เขาเริ่มเต้นและร้องเพลงกับพี่ ๆ ของเขา วงสร้างสถิติบนอันดับเพลงโดยการมี 4 ซิงเกิลแรกขึ้นสูงสุดอันดับ 1 บนบิลบอร์ดฮ็อต  
         ในปี 1972 แจ็กสันเริ่มออกงานเดี่ยวโดยเขามีผลงานเดี่ยวทั้งหมด 4 ชุดกับสังกัดโมทาวน์ แต่ไม่นานสมาชิกในวงก็มีปัญหากับโมทาวน์ เพราะถูกจำกัดภายใต้ข้อห้ามที่ควบคุมความคิดสร้างสรรค์
 ทำให้วงเดอะแจ็กสันไฟฟ์ตัดสินใจออกจากโมทาวน์ในปี 1975 ย้ายไปอยู่กับ ซีบีเอสเรคเคิดส์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1975 โดยอยู่ในสังกัดย่อยฟิลาเดลเฟียอินเตอร์เนชันแนลเรคเคิดส์ ซึ่งต่อมาคือค่ายอีพิก  และจากผลทางกฎหมายวงจึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น เดอะแจ็กสันส์

          หลังจากเปลี่ยนชื่อแล้ววงออกทัวร์ในระดับนานาชาติ และยังออกผลงานอัลบั้มมากกว่า 6 อัลบั้ม ไมเคิล แจ็กสันยังเป็นผู้เขียนเพลงหลักของวง มีเพลงฮิตอย่าง "Shake Your Body (Down to the Ground)", "This Place Hotel" และ "Can You Feel It"
       ในปี 1979 แจ็กสันได้รับบาดเจ็บบริเวณจมูกระหว่างการฝึกซ้อมเต้น การศัลยกรรมจมูกของเขาไม่เสร็จดี ส่งผลให้ต้องผ่าตัดอีกหลายครั้ง หลังจากนั้นได้ร่วมงานกับ พอล แม็กคาร์ตนีย์ ออกอัลบั้มใหม่ Off the Wall ที่มีซิงเกิลท็อป 10 จำนวน 4 เพลง ติดชาร์ตบิลบอร์ดอันดับ 3 จาก 200 มียอดขาย 7 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกาและขายได้มากกว่า 20 ล้านชุดทั่วโลก
        ในปี 1980 แจ็กสันได้รับ 3 รางวัลอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส เนื่องจากประสบความสำเร็จอย่างมาก แจ็กสันจึงรู้สึกว่า Off the Wall ควรจะมีผลกระทบมากขึ้นและควรเป็นที่คาดหวังให้กับการออกผลงานในชุดถัดมา
         ในปี 1982 แจ็กสันมีผลงานเพลง "Someone In the Dark"  ซึ่งประกอบภาพยนตร์เรื่อง อี.ที. เพื่อนรัก ซึ่งได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขาอัลบั้มยอดเยี่ยมประเภทเพลงสำหรับเด็ก  ต่อมาอีพิกออกผลงานอัลบั้มชุดที่สอง Thriller ที่ถือว่าเป็นจุดสูงสุดในอาชีพของเขา อัลบั้มติดอันดับ 1 นาน 37 สัปดาห์และอยู่บนบิลบอร์ด นาน 80 สัปดาห์ มียอดขายสูงกว่า 109 ล้านชุด ถือเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาล  

         25 มีนาคม 1983 การแสดงสดในรายการโทรทัศน์ครบรอบ 25 ปีโมทาวน์ วงค์แจ็คสันได้ร้องเพลงของเขาเองในเพลง "Billie Jean" และยังเปิดตัวท่าเต้นที่ถือเป็นท่าเต้นที่สร้างชื่อเสียงของเขา "มูนวอล์ก" การแสดงของเขาในงานนี้มีผู้รับชมมากกว่า 47 ล้านคน จนเดอะนิวยอร์กไทมส์ พูดไว้ว่า "ท่ามูนวอล์กที่ทำให้เขามีชื่อเสียง เป็นคำอุปมาอย่างเหมาะสมแล้วสำหรับท่าเต้นของเขานี้ เขาทำได้อย่างไร ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ เขาเป็นนักมายากลผู้ยิ่งใหญ่ นักแสดงโดยไม่ใช้คำพูดอย่างแท้จริง ความสามารถในการนำหนึ่งขาก้าวไถลขณะที่อีกข้างงอและดูเหมือนว่าท่าเดินจะอยู่ในจังหวะพอเหมาะพอเจาะ"
         27 มกราคม 1984 แจ็กสันบาดเจ็บหลังจากถ่ายภาพยนตร์โฆษณาเป๊ปซี่ สะเก็ดไฟไหม้ที่ผม จนหนังศีรษะไหม้ โดยอุบัติเหตุเกิดขึ้นต่อหน้าแฟนเพลงมากมายในฉากถ่ายคอนเสิร์ต ทำให้เกิดความเห็นใจหลั่งไหลสู่แจ็กสันอย่างมาก เป๊ปซี่จัดไกล่เกลี่ยกับแจ็กสันนอกศาลขดเชยตัวเงินจำนวนมหาศาลเพื่อให้ข่าวยุติ
           สีผิวของแจ็กสัน ตั้งแต่ในช่วงเด็กมีสีน้ำตาลปานกลาง แต่เมื่อเริ่มต้น 1980 สีผิวของเขาดูซีดลง มีข่าวลือออกมาว่าเขาฟอกสีผิวแต่จริงแล้วเค้าเป็นโรคด่างขาวและโรคลูปัส การป่วยเป็นทั้งสองโรคนี้ทำให้เขาระคายเคืองต่อแสงแดด การรักษาในส่วนสีผิวที่ขาวกว่าเขาใช้การเมคอัพในบริเวณรอยด่าง ส่วนโครงหน้าของเขาก็เช่นกันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดจากการทำศัลยกรรมหลายครั้ง แจ็กสันทำศัลยกรรมจมูก ยกหน้าผาก ทำปากให้บางลงและโหนกแก้ม เขามักจะทนทุกข์จากอาการกลัวอ้วน ซึ่งเป็นช่วงที่เขาน้ำหนักลดลงและเป็นปัญหาต่ออาชีพการเป็นนักร้องของเขาในเวลาต่อมา


         มีนาคม 1988 แจ็กสันซื้อที่ดินใกล้กับ Santa Ynez รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อสร้างเนเวอร์แลนด์ที่มีมูลค่า 17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีชิงช้าสวรรค์ สวนสัตว์ป่า และโรงภาพยนตร์บนเนื้อที่ 2,700 เอเคอร์ (11 ตร.กม.) มีผู้รักษาความปลอดภัย 40 คนบนพื้น 
          ในปี 1989 รายได้ประจำปีของเขาจากการขายอัลบั้ม โฆษณาและคอนเสิร์ต ตีค่าราว 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนั้นปีเดียวจากความสำเร็จของเขาทำให้ได้รับฉายา "King of Pop" หรือ ราชาเพลงป็อป จากนักแสดงหญิงที่ตั้งชื่อให้เขาคือเอลิซาเบธ เทย์เลอร์ เธอยังเชิญรางวัล "ศิลปินแห่งทศวรรษ" ให้กับเขาในปี 1989 โดยพูดว่า "ราชาแห่งป็อป ร็อกและโซลตัวจริง"
          กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1993 แจ็กสันให้สัมภาษณ์ในรายการของโอปราห์ วินฟรีย์ พูดถึงชีวิตที่ถูกทารุณด้วยน้ำมือพ่อของเขาในวัยเด็ก เขาเชื่อว่าเขาพลาดความสนุกสนานในชีวิตวัยเด็ก  เขาปฏิเสธข่าวลือจากแท็ปลอยด์ที่ว่าเขาซื้อกระดูกมนุษย์ช้างหรือนอนในตู้ออกซิเจน เขาปฏิเสธข่าวที่เขาฟอกสีผิว และยังพูดครั้งแรกว่าเขาเป็นโรคด่างขาว 
         แจ็กสันถูกฟ้องร้องจากเรื่องละเมิดทางเพศจากเด็กชายอายุ 13 ปีที่ชื่อ จอร์แดน แชนด์เลอร์และพ่อของเขา อีแวน แชนด์เลอร์ อาชีพทันตแพทย์ ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างแจ็กสันและอีแวน แชนด์เลอร์เป็นอันจบลง  จอร์แดน บอกกับจิตแพทย์และกับตำรวจว่าเขาและแจ็กสัน จูบ สำเร็จความใคร่และทำออรัลเซ็กซ์ ทำให้เกิดการตรวจค้นครั้งใหญ่ใน ไร่เนเวอร์แลนด์  
          แจ็กสันพูดเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าต่อหน้าสาธารณะและประกาศว่าเขาบริสุทธิ์  เขาเริ่มใช้ยาแก้ปวดและยาระงับประสาท ทำให้สุขภาพเริ่มย่ำแย่ เพื่อนของเขาและที่ปรึกษาทางกฎหมายเข้ามาดูและปกป้องผลประโยชน์ด้านการเงินให้กับเขา
         มกราคม 1994 แจ็กสันยอมจ่ายเงิน 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐนอกศาลให้จอร์แดนเพื่อยุติคดีความ แจ็กสันไม่ถูกจับและหยุดการตรวจสอบ โดยอ้างว่าขาดหลักฐาน


         พฤษภาคม 1994 แจ็กสัน แต่งงานกับ ลิซา มารี เพรสลีย์ บุตรสาวของเอลวิส เพรสลีย์ ทั้งคู่พบกันครั้งแรกในปี 1975 ในช่วงที่ครอบครัวแจ็กสันทำงานอยู่ที่เอ็มจีเอ็มแกรนด์โฮเทลแอนด์คาซิโน และได้มาติดต่อกันทุกวันทางโทรศัพท์ จากกรณีการลวนลามทางเพศกับเด็กเป็นเรื่องราวใหญ่โต แจ็กสันก็มาระบายอารมณ์ความรู้สึกกับลิซา มารี เธอยังเป็นห่วงเกี่ยวกับสุขภาพและปัญหาการติดยาของเขา[91] ลิซา มารีอธิบายว่า "ฉันเชื่อว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดและเขาถูกใส่ร้ายและใช่ ฉันก็เริ่มตกหลุมรักเขาแล้ว ฉันต้องการปกป้องเขา ฉันรู้สึกว่าฉันควรทำอย่างนั้น" จากนั้นไม่นาน เธอพยายามโน้มน้าวแจ็กสันให้ตกลงกันนอกศาลและเข้ารับการบำบัดยา ซึ่งเขาก็ทำตามนั้นทั้งสองอย่าง หลังจากนั้นเขาก็ขอเธอแต่งงาน ทั้งคู่แต่งงานกันที่สาธารณรัฐโดมินิกันเป็นการส่วนตัว ในเวลานั้น แท็ปลอยด์ก็คาดเดาต่าง ๆ เกี่ยวกับงานแต่งงานมีขึ้นเพื่อลบล้างภาพลักษณ์การละเมิดทางเพศ
 แจ็กสันและเพรสลีย์หย่าร้างกันในอีก 2 ปีต่อมา แต่ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน


       25 มิถุนายน ค.ศ. 2009 แจ็กสันล้มลงที่คฤหาสน์ที่เขาเช่าอยู่ที่ 100 นอร์ธคาโรลวูดไดรฟ์ เขตโฮล์มบีฮิลส์ ในลอสแอนเจลิส จากความพยายามนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพโดยแพทย์ส่วนตัวของเขาแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ตำรวจดับเพลิงได้รับแจ้งจาก 911 เมื่อเวลา 12:22 น. หลังจากนั้น 3 นาทีจึงถึงที่อยู่ของแจ็กสัน ได้รับการรายงานว่าเขาหยุดหายใจและได้พยายามช่วยเหลือเขาด้วยการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังคงมีการปั๊มหัวใจอย่างต่อเนื่องที่ศูนย์การแพทย์โรนัลด์ เรแกน มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส 
       จากนั้น 1 ชั่วโมงหลังถูกส่งตัวมา จึงมีการประกาศว่าแจ็กสันเสียชีวิตวันที่ 26 มิถุนายน เวลา 4 นาฬิกา 26 นาที พิธีไว้อาลัยจัดขึ้นเมื่อ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 ที่สเตเปิลส์ เซ็นเตอร์ ในลอสแอนเจลิส  สถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ ทั่วโลกต่างถ่ายทอดงานพิธีอาลัยจากสเตเปิลส์ เซ็นเตอร์ โดยมีผู้ชมมากกว่า 1 พันล้านคน  มีศิลปินมาร่วมงานอย่าง สตีวี วันเดอร์ ไลโอเนล ริชชี มารายห์ แครี เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน อัชเชอร์ เจอร์เมน แจ็กสัน และชาฮีน จาฟาร์โกลี ที่ร้องเพลงในงาน ส่วนเบอร์รี กอร์ดีและสโมกี โรบินสัน กล่าวคำสรรเสริญ ขณะที่ควีน ลาติฟาห์ อ่านกลอนที่ประพันธ์โดยมายา อันเกลู  บาทหลวงอัล ชาร์ปตัน ทำให้ผู้คนยืนลุกปรบมือเมื่อเขาพูดกับลูก ๆ ของแจ็กสันว่า "ไม่มีอะไรแปลกเกี่ยวกับพ่อ แต่มันแปลกที่พ่อของหนู ๆ เกี่ยวพัน" 
         เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพลอสแอนเจลิสตัดสินใจระบุว่าการเสียชีวิตของไมเคิล แจ็กสันเป็นการถูกฆาตกรรม  แจ็กสันถูกให้โปรโพฟอล ยานอนหลับที่ชื่อว่า โลราซีแปม (lorazepam) และยามิดาโซแลม(Midazolam)พนักงานสอบสวนกำลังจะสรุปสำนวนการสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับ นายแพทย์คอนราด เมอร์เรย์ แพทย์ประจำตัวของไมเคิล แจ็กสัน ในข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายต่อไป
....................

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น