Myth The God Jesus Christ พระผู้ช่วยให้รอดของโลก
เรียกขาน พระเจ้าพระบุตร
- พระเยซูแห่งนาซาเร็ธ
ตำแหน่ง พระผู้ไถ่บาปของเหล่าลูกแกะหลงทาง
พระบิดา โจเซฟ (Joseph)
พระมารดา แมรี่ (MARY)
กำเนิด 25 ธันวาคม ค.ศ.1 -แคว้นยูเดียจักรวรรดิโรมัน
สิ้นพระชนต์ อายุ 33 ปี - ถูกตรึงกางเขน
สาวก ซี โมนเปโตร • อันดรูว์ • ยอห์น • ฟีลิป • บารโธโลมิว • โธมัส • มัทธิว • ยูดา • ซีโมนเศโลเท • ยูดาส • มัทธีอัส • เปาโล • บารนาบัส • ยากอบ
ปรากฏ คัมภีร์ไบเบิล : ภาคพันธสัญญาเดิม
สัญลักษณ์ตัวแทน ตรีเอกภาพ : พระบิดา (พระยาห์เวห์) • พระบุตร (พระเยซู) • พระวิญญาณบริสุทธิ์
พระเยซูคริสต์หรือพระจีซัสไครสต์ (Jesus Christ)ก่อนที่พระเยซูอุบัติ ประวัติศาสตร์ของชนชาติยิวที่เป็นมายังกระจัดกระจาย ไม่สามารถ รวมกัน เป็นปึกแผ่นได้ จวบจนถึงสมัยตกอยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน มีหัวหน้าซึ่งเป็น นักพรตของศาสนายิว ประจำอยู่ที่กรุงเยรูซาเลม เมื่อ พ.ศ. 543 หรือ ปีที่ 1 แห่งคริสต์ศักราช (บางตำรากล่าวว่าก่อน คริสต์ศักราช 4 ปี ) พระเยซูไครสต์ได้สมภพขึ้น ในโลกที่ตำบล เบธเลเอ็ม (ฺBethlehem) แคว้นยูดา ในประเทศปาเลสไตน์วันที่ ทรงสมภพไม่มีบันทึกไว้ แน่นอน พระศาสนาจักรได้กำหนดเอาวันที่ 25 ธันวาคม และวันดังกล่าวนี้ชาวคริสต์ถือเป็น วันคริสต์มาส บริเวณที่ทรงสมภพเป็นคอกเลี้ยงสัตว์
.........................
พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์กาเบรียล ให้มายังเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลี ชื่อนาซาเร็ธ มาถึงหญิงพรหมจารีคนหนึ่งชื่อมารีย์ ที่ได้หมั้นกันไว้กับชายคนหนึ่งที่ชื่อโยเซฟ เป็นคนในเชื้อวงศ์ดาวิดทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า
"มารีย์เอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว ดูเถิด เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่า 'เยซู' บุตรนั้นจะเป็นใหญ่ และจะทรงเรียกว่าเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด"
ครั้นเมื่ออยู่กินด้วยกันกับโยเซฟก็ ปรากฏว่า มารีย์มีครรภ์แล้วด้วยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่โยเซฟคู่หมั้นของเขาเป็นคนมีธัมมะ ไม่พอใจที่จะแพร่งพรายความเป็นไปของเธอ หมายจะถอนหมั้นเสียลับๆเมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า "โย เซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิ์ในครรภ์ของเธอ เป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ เธอจะประสูติบุตรชาย แล้วเจ้าจงเรียกนามท่านว่า 'เยซู' เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่าน ให้รอดจากความผิดบาปของเขา" เมื่อโยเซฟตื่นขึ้นมาก็ทำตามคำซึ่งทูตของพระเจ้าสั่งไว้
อยู่มาคราวนั้น มีรับสั่งจากมหาจักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตัส ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน ฝ่ายโยเซฟได้พามารีย์ที่เขาได้หมั้นไว้ จากเมืองนาซาเร็ธไปที่เมือง เบธเลเฮมแคว้นยูเดีย เมื่อทั้งสองอยู่ที่นั่น ก็ถึงเวลาที่มารีย์จะประสูติบุตร นางจึงประสูติบุตรชายหัวปี เอาผ้าอ้อมพัน และวางไว้ในรางหญ้า เพราะว่าไม่มีที่ว่างให้เขาในโรงแรม
เมื่อครั้นพระเยซูได้ทรงบังเกิดแล้วมีพวกโหราจารย์ทำนายว่า จะมีกุมารที่บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิว เมื่อกษัตริย์เฮโรดได้ยินดังนั้นก็วุ่นวายพระทัย สั่งพวกโหราจารย์ให้ตามหาโดยเร่งด่วน พวก โหราจารย์ได้เดินทางตามดวงดาวไปจนถึงที่พระกุมารประสูติ ก็มีความยินดียิ่งนัก เมื่อเข้าไปในเรือนก็พบกุมารกับนางมารีย์มารดา จึงกราบถวายนมัสการกุมารนั้น แต่มิได้กลับไปแจ้งข่าวแก่เฮโรด เพราะพวกเขาได้รับการเตือนจากพระเจ้าทางความฝันว่าเมื่อพบให้พากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ ไม่งั้นจะถูกกษัทริย์เฮโรดประหารชีวิตเป็นแน่
เมื่อเฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้ามาปรากฏในความฝันแก่โยเซฟที่ประเทศอียิปต์ สั่งว่า "จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล เพราะผู้ที่เป็นภัยต่อชีวิตของกุมารนั้นตายแล้ว" โยเซฟจึงลุกขึ้นพากุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล ไปอาศัยอยู่ในเมืองนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลี
พระกุมารก็เจริญวัยแข็งแรงขึ้น ประกอบด้วยสติปัญญา และพระคุณของพระเจ้าอยู่กับท่าน เมื่อพระกุมารมีพระชนม์ 12 พรรษา พระกุมารได้ไปยังพระวิหารกับมารีย์และโยเซฟ และนั่งอยู่ในพระวิหารท่ามกลางพวกอาจารย์ ฟังและไต่ถามพวกอาจารย์เหล่านั้นอยู่ คนทั้งปวงที่ได้ยินก็ประหลาดใจในสติปัญญา และคำตอบของพระกุมารนั้นพระเยซูได้จำเริญขึ้นในด้านสติปัญญา ในด้านร่างกาย และเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า และต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย
พระเยซูคริสต์ (Jesus Christ) บังเกิดขึ้นมาในตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่ง ชื่อ เบธเลเฮม(Bethlehem) ในแคว้นยูดาห์ ตรงกับปีพุทธศักราช 543 วันที่บังเกิดขึ้นไม่มีการบันทึกแน่นอน แต่ศาสนจักรได้กำหนดเอาวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันเริ่มคริสตศักราชที่ 1 มารดามีนามว่า มารีอา (Maria) ชาวคริสต์ เชื่อกันว่า นางมารีอา ตั้งครรภ์ไม่เหมือนสตรีอื่น เพราะเป็นการตั้งครรภ์โดยอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ฉะนั้นพระเยซูจึงเป็นบุตรของพระเจ้า ส่วนโยเซฟ (Joseph) เป็นบิดาเลี้ยงที่มีสายเลือดสืบมาแต่กษัตริย์ดาวิด
พระเยซูในวัยเด็กมีจิตใจที่ใฝ่ในธรรม มีความชอบใจที่จะพูดถึงเรื่องธรรมกับนักศาสนา ครั้นมีอายุได้ 30 ปี จึงรับบัพติศมา หรือการรับศีลล้างบาปจากยอห์น ซึ่งเป็นนักบุญในสมัยนั้น การรับศีลล้างบาปนี้กระทำที่แม่น้ำจอร์แดน ต่อมาพิธีนี้ได้กลายเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์ทุกคน ที่จะต้องกระทำเพื่อประกาศตนเป็นคริสต์ศาสนิกชน หลังจากนั้นพระเยซูได้ออกเทศนาทั่วประเทศเพื่อประกาศ "ข่าวดี" อันเป็นหนทาง แห่งความรอดพ้นจากบาปไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ในขณะนั้นได้มีผู้สนใจคำสอนของพระเยซู แต่ส่วนมากเป็นชนชั้นชาวบ้านที่ยากจนและชาวประมง พระเยซูได้คัดเลือกสาวกจากบุคคลเหล่านี้ได้ทั้งหมด 12 คน
สาวกทั้ง 12 คนนี้ ได้ติดตามรับใช้พระเยซูอย่างใกล้ชิดเพื่อเผยแพร่ศาสนา แต่กระนั้นก็ยังมีสาวกที่มีจิตใจดื้อดึง คือ ยูดาส อิสคาริออท (Judas Iscariot) ยอมทรยศเพื่อเห็นแก่เงินสินบน เนื่องมาจาก คำสอนของพระเยซูมีส่วนทำให้ผู้นำศาสนายูดาย ขุนนาง และคนร่ำรวยบังเกิดความไม่พอใจ เพราะถูกตำหนิจึงโกรธแค้นคิดหาทางทำร้าย ด้วยการจับตัวไปขึ้นศาลของเจ้าเมืองชาวโรมัน โดยยูดายรับอาสาชี้ตัวพระเยซู เมื่อวันที่ผู้นำศาสนายูดายมาจับตัวพระเยซูไป สาวกทั้ง 11 คน ได้รีบหลบหนีทิ้งให้พระเยซูถูกจับไปลงโทษ
โดยการตรึงกับไม้กางเขน พระเยซูถูกทรมานอย่างโหดร้ายทารุณจนถึงแก่ชีวิตในขณะที่มีอายุได้ 33 ปี เท่านั้น จึงใช้เวลาประกาศศาสนาเพียง 3 ปี
ชาวคริสต์เชื่อกันว่าหลังจากที่พระเยซูได้สิ้นไป 3 วันแล้ว ได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง โดยปรากฏแก่สาวกทั้ง 11 คน พวกเขาได้ทดสอบพระเยซูหลายครั้งจนมั่นใจว่าการฟื้นคืนชีพของพระเยซูนั้น ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง ประกอบกับการเทศนาสั่งสอนย้ำให้สาวกทั้งหลายมีความเข้าใจในพระคัมภีร์ พวกเขาทั้ง 11 คน ได้กลับไปกรุงเยรูซาเล็ม จึงร่วมกันอธิษฐานอย่างขะมักเขม้น นับแต่นั้นมาอัครสาวกทั้ง 11 คน และมัทธีอัส ซึ่งได้รับเลือกเข้ามาในภายหลัง รวมเป็น 12 คน ได้ช่วยกันเผยแพร่ศาสนาอย่างมั่นคง ทำให้มีผู้เข้ามาเป็นสาวกของพระเจ้ามากมาย แต่ในขณะเดียวกันการเผยแพร่ศาสนามีความลำบากเป็นอย่างมาก เพราะ ถูกต่อต้านอยู่เสมอจากพวกที่นับถือศาสนายูดาย
ความเจริญของศาสนาคริสต์ได้มีมายาวนาน จนกระทั่งถึงยุคล่าอาณานิคมของ พวกจักรวรรดิ์นิยมชาวยุโรปและอเมริกัน ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 ศาสนาคริสต์ ได้ถูกนำไปเผยแพร่ในประเทศต่างๆ ที่นักล่าอาณานิคมเหล่านี้ไปถึง ทำให้คริสต์ศาสนิกชนมีปริมาณ เพิ่มมากขึ้น ทั้งในทวีปยุโรป แอฟริกา อเมริกา เอเชีย และออสเตรเลีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ได้มีนักสอนศาสนาชาวโปรตุเกสและสเปนเข้ามาเผยแพร่ โดยเดินทางมาพร้อมกับพวกทหารและพ่อค้า ของประเทศเหล่านั้น ทำให้มีคนไทยนับถือศาสนาคริสต์กระจัดกระจายไปทั่วประเทศ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น