Myth ODA Nobunaga King of Demon
ตำแหน่ง อัครมหาเสนาบดี - ไนไดจิน (Udaijin)
-1 ใน 3 บุรุษผู้รวมแผ่นดินญี่ปุ่นเป็นหนึ่ง
สังกัด ตระกูลโอดะแห่งโอวาริ( Oda clan)
สัญชาติ ญี่ปุ่น(JAPAN)
บิดา โนบุฮิเดะ-ไดเมียวแคว้นโอะวะริ (Oda Nobuhide)
มารดา นางโดะตะ โกเซ็ง (Dota Gozen)
พี่น้อง ชาย 12 คน หญิง 2 คน
ภรรยาเอก โนฮิเมะ (Nohime)
ภรรยาน้อย อิโกะมะ คิซึโนะ ( Ikoma Kitsuno)และ นางซะกะ (Saka)
ลูก หลาน ชาย 12 คน หญิง 7 คน
กำเนิด 23 มิถุนายน ค.ศ. 1534
- ที่ปราสาทนะโงะยะ(Nagoya Castle - Owari)
เสียชีวิต อายุ 47 ปี - 21 มิถุนายน ค.ศ. 1582
- วัดฮนโนจิ ,เกียวโต(Honno ji - Kyoto)
โอดะ โนบุนากะ (Oda Nobunaga) หรือ คิปโปชิ (Kipposhi )เป็นบุรุษแห่งศตวรรษ ในช่วง ปี ค.ศ. 1500-1600 ซึ่งเป็นยุคแห่งความวุ่นวายของญี่ปุ่น บรรดาไดเมียวทั้งหลายต่างตั้งตนเป็นอิสระและต่อสู้แย่งชิงความเป็นใหญ่กันเอง ทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมืองที่ยาวนานถึง 100 ปี เรียกว่ายุคเซนโกกุจิได ในช่วงท้ายที่สุดได้มีขุนศึกผู้หนึ่งที่ก้าวขึ้นมากุมอำนาจและดำเนินการสยบภาวะสงครามกลางเมือง แม้ว่าเขาจะทำไม่สำเร็จ แต่ก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้สร้างจุดเริ่มต้นของการรวมชาติขุนศึกผู้นั้นคือ โอดะ โนบุนากะ (Oda Nobunaga)
.......................
ในฐานะที่เป็นบุตรคนโตสุดที่เกิดกับภรรยาเอก ทำให้คิปโปชิเป็นอันดับหนึ่งในการสืบทอดแคว้นโอะวะริ ต่อจากโนะบุฮิเดะบิดาของตน ซึ่งได้มอบหมายให้ที่ปรึกษาคนสนิทของตนคือ ฮิระเตะ มะซะฮิเดะ (Hirate Masahide) เป็นอาจารย์คอยฝึกวิชาความรู้ให้แก่คิปโปชิ แต่ว่าคิปโปชิกลับมีพฤติกรรมที่ประหลาด เอาแต่ใจตนเอง ทำให้เป็นที่ไม่พอใจของบรรดาซะมุไรข้ารับใช้ของตระกูลโอะดะ รวมทั้งมารดาของคิปโปชิเอง จนทำให้คิปโปชิมีชื่อกระฉ่อนไปทั่วภูมิภาคคันไซว่า "คนโง่แห่งโอะวะริ" แต่ด้วยการสนับสนุนของบิดาทำให้ยังคงสถานะเป็นทายาทของตระกูลโอะดะอยู่ได้
ในปี ค.ศ. 1546 เมื่ออายุสิบสองปี คิปโปะชิผ่านพิธีเง็มปุกุได้รับชื่อว่า โอะดะ โนะบุนะงะ หลังจากนั้นไม่นานก้ทำการสู่ขอบุตรสาวของไซโต โดซัง (Saitō Dōsan) ไดเมียวผู้ปกครองแคว้นมิโนะ มาเป็นภรรยา
ในปี ค.ศ. 1551 โนะบุฮิเดะผู้เป็นบิดาถึงแก่กรรม โนบุนากะซึ่งขณะนั้นอายุเพียง 15 ปี ขึ้นดำรงตำแหน่งไดเมียวแห่งโอะวะริ โดยสร้างความไม่พอใจให้กับคนในตระกูลเป็นอย่างมาก
ในปี ค.ศ. 1556 น้องชายของโนะบุนะงะคือ โอะดะ โนะบุยุกิ (Oda Nobuyuki) ก่อกบฏหมายจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลโอะดะด้วยการสนับสนุนของชิบะตะ คะซึอิเอะ (Shibata Katsuie ?) ฮะยะชิ ฮิเดะซะดะ (Hayashi Hidesada ) รวมทั้งมารดาของโนะบุนะงะเอง โนะบุนะงะสามารถเอาชนะทัพของน้องชายตนเองได้ในยุทธการอิโน แต่โนะบุนะงะก็ไว้ชีวิตขุนพลทั้งสองแต่ต้องการที่จะสังหารโนะบุยุกิน้องชาย แต่ด้วยการร้องขอของมารดาโนะบุนะงะจึงได้ไว้ชีวิตโนะบุยุกิ ปรากฏว่าในปีต่อมาค.ศ. 1557 โนะบุยุกิวางแผนยึดอำนาจอีกครั้ง โนะบุนะงะจึงแกล้งว่าป่วยให้โนะบุยุกิมาพบตนที่ปราสาทคิโยะซุ แล้วทำการสังหารโนะบุยุกิไปเสีย
ในปี ค.ศ. 1560 อิมากาว่า โยชิโมโตะ ไดเมียวแห่ง มิคาว่าซึ่งเป็นแคว้นใหญ่ต้องการนำทัพบุกยึดโตเกียว จึงนำกำลังพล 25,000 นาย เข้าโจมตีโอวาริเพื่อเปิดทางสู่การบุกเกียวโต โนบุนากะไม่ยอมจำนนต่อกองทัพข้าศึกและตั้งมั่นในปราสาท ทหารของอิมากาว่าตั้งค่ายกระจายล้อมปราสาทไว้และเตรียมการเข้าตี ทว่าในคืนหนึ่งเกิดพายุฝน ทัพของอิมากาว่าหลบพักอยู่ในค่าย โนบุนากะคุมทหารม้า 500 นาย บุกเข้าโจมตีค่ายหลวงของอิมากาว่า
ในปี ค.ศ. 1560 โนบุนากะได้ดำเนินการผูกมิตรกับไดเมียวตระกูลต่างๆ และทำสงครามกับไดเมียวที่ตั้งตนเป็นศัตรู หลังชัยชนะในสงครามที่อินาบะยามะ อำนาจของตระกูลโอดะก็เพิ่มมากขึ้น ในปี ค.ศ. 1567 องค์จักรพรรดิโกะ-โยเซอิ มีพระราชสาส์นขอความช่วยเหลือในการฟื้นฟูอำนาจของพระองค์ให้พ้น จากอิทธิพลของตระกูลอะชิคางะ โนบุนากะจึงยกทัพเข้าเมืองหลวง และบีบบังคับให้โชกุน อะชิคางะ โยชิอากิ เป็นหุ่นเชิดของตน จากผลงานครั้งนี้ องค์จักรพรรดิทรงแต่งตั้งให้เขาดำรงตำแหน่ง ไนไดจิน หรือ อัครมหาเสนาบดี จนในปี ค.ศ. 1573 โชกุน โยชิอากิ คิดแข็งข้อ จึงถูกเนรเทศออกไปและเป็นการสิ้นสุดอำนาจของตระกูลอะชิคางะที่ปกครองญี่ปุ่นมานานกว่า 200 ปีลง อย่างไรก็ตาม
เนื่องจากโนบุนากะไม่มีเชื้อสายขุนนางดั้งเดิม จึงไม่ได้ประกาศตัวขึ้นเป็นโชกุน แต่ในเวลานี้เขาก็นับว่ามีอำนาจมากที่สุดในแผ่นดิน โนบุนากะเป็นนักการทหารที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล โดยเขาได้เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งกองทหารราบอะชิการุซึ่งเป็นทหารที่เกณฑ์มาจากชาวบ้านธรรมดา และใช้กองทัพขนาดใหญ่ในการทำสงครามผิดกับไดเมียวอื่นๆที่นิยมสะสมซามูไร ไว้ในกองทัพ ทั้งนี้ซามูไร มีข้อเสียที่หาได้ยาก ใช้เวลาฝึกนานและค่าจ้างแพง แม้ว่าพวกอะชิการุจะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แต่โนบุนากะก็พิสูจน์ให้เห็นว่า กองทหารอะชิการุจำนวนมากก็สามารถเอาชนะซามูไรได้ ถ้าหากมีแม่ทัพที่ดี นับเป็นการเปิดปฐมบทของการทำสงครามด้วยกองทหารขนาดใหญ่ แต่ทหารชาวนาเหล่านี้มีข้อเสียในด้านขวัญกำลังใจและมักหนีทัพเสมอเพราะกลัวตาย ผิดกับซามูไรที่ยินดีสู้เพื่อตายอย่างมีเกียรติ
นอกจากนี้ โนบุนากะยังให้การต้อนรับชาวโปรตุเกสที่เข้ามาติดต่อค้าขายและเผยแผ่ศาสนาเป็นอย่างดี โดยโนบุนากะมีความสนใจในสองสิ่งที่พวกนั้นนำมา นั่นคือ ปืนคาบศิลา และศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะปืน นั้น โนบุนากะถึงกับยอมเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ เพื่อให้กองทัพของตนเต็มไปด้วยออาวุธปืนที่สั่งตรงมาจากโปรตุเกส
แม้ว่าจะกำจัดโชกุนได้แล้วโนบุนากะมีศัตรูมากมายที่ยังต่อต้านเขาอยู่ ศัตรูสำคัญพวกหนึ่งคือพวกพระนักรบ หรือ อิคโค อิกกิ ซึ่งในช่วงสงครามกลางเมือง พระนักรบเหล่านี้มีอำนาจมาก พวกนี้เป็นนักบวชในพุทธศาสนาที่ชำนาญการใช้อาวุธเหมือนซามูไร พระนักรบเหล่านี้ต่อต้าน อำนาจของโนบุนากะเนื่องจากเห็นว่าโนบุนากะนับถือศาสนาคริสต์ โนบุนากะได้ทำสงครามเพื่อกวาดล้างพระนักรบหลายครั้ง การรบครั้งสำคัญเช่นการทำลายสำนักสงฆ์บนเขาฮิเออันเป็นพุทธสถานเก่าแก่ อายุนับพันปี ถูกมองว่าเป็นแหล่งซ่องสุมกำลังที่สำคัญของพวกอิคโค อิคกิ ที่นี่มีป้อมปราการวัดพุทธที่เข้มแข็งพร้อมทั้งพระนักรบนับหมื่นคน โนบุนากะใช้ทหาร 30,000 นาย ล้อมภูเขาและบุกขึ้นไปจนถึงวัดซากาโมโตะ อันเป็นศูนย์ของพระนักรบ โนบุนากะออกคำสั่งให้ทหารฆ่าทุกคนที่อยู่บนเขาไม่จะเป็น ผู้ชาย ผู้หญิงหรือแม้แต่ทารกก็ตาม รวมทั้งเผาอาคารทุกหลัง
ในเวลาไม่นานภูเขาฮิเอก็ไม่มีอะไรเหลือ นอกจากนี้โนบุนากะยังโจมตีพุทธสถานอื่นๆ ที่มีแนวโนม้จะก่อกบฏต่อเขา จนทำให้อำนาจของพวกพระที่เคยมีอิทธิพลอยู่สูงหมดสิ้นไป โนบุนากะได้ให้การสนับสนุนการเผยแผ่ศาสนาของพวกบาทหลวงโปรตุเกสเป็นอย่างดี เพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินและอาวุธปืนที่พวกนี้นำมาให้ ทำให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นในช่วงนั้นรุ่งเรืองด้านการค้าขายแลกเปลี่ยน กับต่างชาติเป็นอย่างมาก
โดยหลังจากเศรษฐกิจมั่นคงและมีอำนาจในมือแล้ว โนบุนากะได้สร้างปราสาทอาซึชิ ที่ริมทะเลสาปบิวะ ซึ่งเป็นปราสาทที่สวยงามและมีกำแพงหินที่แข็งแรงทนทานต่อปืนใหญ่ นอกจากนี้ยังสร้างพระราชวังแห่งใหม่ที่เกียวโตด้วย ในขณะนั้นอำนาจของโนบุนากะเรียกได้ว่าล้นฟ้า ทว่าได้มีซามูไรอย่าง อะเดจิ มัตสึฮิเดะ ผู้ต่อต้านจักรวรรดิ์นิยมได้มีแผนในใจแล้ว
ในประวัติศาสตร์กล่าวว่า อะเคจิ มัตสึฮิเดะ นั้นโกรธแค้นโนบุนากะมาก ในเรื่องวันหนึ่งของงานเลี้ยง ด้วยอารมณ์สนุกสนาน โนบุนากะได้ล็อคศีรษะของ อะเดจิ มัตสึฮิเดะ นายทหารคนสนิทไว้ในวงแขนและใช้ด้ามพัดตีศีรษะ มัตสึฮิเดะอับอายและเคียดแค้นมากและรอโอกาสล้างแค้น แต่หากเราศึกษากันจริงๆ แล้ว จะทราบได้ว่า อะเคจิ มัตสึฮิเดะ คนนี้เป็นคนที่จิตใจดี กล้าหาญและซื่อสัตย์ต่อเจ้านายมาก ยกตัวอย่างตอนที่โชกุน อะชิคางะ โยชิอากิ แข็งข้อกับโนบุนากะ โนบุนากะคิดจะสังหารเสีย แต่ มัตสิฮิเดะ อะเคจิ ขอร้องไว้ เพราะในขณะนั้นโนบุนากะต้องการมิตสึฮิเดะไปเป็นมือขวา ดังนั้นโทษของโชกุนจึงเหลือแค่เนรเทศออกไป แต่ มัตสึฮิเดะ อะเคจิ ก็ยังขอเป็นธุระให้ ด้วยการไปส่งโชกุน อะชิคางะ โยชิอากิ และในขณะนั้นเขายังพูดจาถนอมน้ำใจอดีตโชกุน อะชิคางะ โยชิอากิ และยังคิดว่าเขาคือโชกุนเหมือนเดิม และแล้ววันที่รอคอยของอะเคจิก็มาถึง
ในปี ค.ศ. 1582 โนบุนากะส่งกองทัพส่วนใหญ่ไปทำสงครามที่คิวชู ทำให้กำลังในเกียวโตมีเพียงเล็กน้อย มัตสึฮิเดะเองก็เป็นนายพลคนหนึ่งที่ต้องคุมทัพไปด้วย ได้ยกทัพย้อนกลับมาโดยกะว่านายพลคนอื่นๆ ไปกันหมดแล้ว จากนั้นจึงเข้าล้อมวัดฮอนโนจิที่โนบุนากะพักอยู่และเข้าโจมตี
โนบุนากะถูกธนูยิงบาดเจ็บสาหัสและถอยเข้าไปในห้อง จากนั้นได้จุดไฟเผาวัดและกระทำพิธีฮาราคีรีหรือคว้านท้องฆ่าตัวตาย โนบุนากะได้เสียชีวิตลงทั้งๆ ที่ภารกิจรวมประทศยังไม่เสร็จสิ้น หลังจากนั้น มัตสึฮิเดะได้ยกกำลังไปที่ปราสาทนิโจและสังหาร โอดะ โนบุทาดะ บุตรชายของโนบุนากะเสีย แต่มัตสึฮิเดะก็อยูได้อีกไม่นาน กล่าวคือ ฮิเดโยชิ นายพลของโนบุนากะได้นำทัพกลับมาล้างแค้นให้เจ้านายและสังหารมัตสึฮิเดะได้ในสงครามที่ยามาซากิ จากนั้นก็รวบรวมแผ่นดินได้เป็นผลสำเร็จ
..........................
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น